ญี่ปุ่นลดเครดิตลงทุนไทย

เป็นใครก็ต้องสะอึก ยิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่มีภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่บอบช้ำจากสารพัดพิษไข้ยิ่งต้องสะอึก เพราะภาพรวมเมื่อสิ้นปี 2552 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2553 ทำท่าว่ากำลังจะกลับมาดีและรัฐบาลก็เพิ่งแถลงผลงานอันเลอเลิศเมื่อครบปี แต่แล้ว "ทุนญี่ปุ่น"ที่เคยยอมรับนับถือกันว่าเป็นมหามิตรทางเศรษฐกิจกับไทยเพราะลงหลักปักฐานไว้ในไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง กลับออกมาประกาศแบบทิ่มกันตรงๆว่า "อาจจะลดการลงทุนลง"
คนที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยต้องให้น้ำหนักในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก็คือ นายมุเนโนริ ยามาดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)ที่ออกมาเปิดเผยภายหลังการเข้าพบนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมว่า "ปัญหาที่เกิดขึ้นในมาบตาพุดทำให้นักธุรกิจญี่ปุ่นมองว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่น่าลงทุนเป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว"
หรืออย่างกรณีที่นายเคียวจิ โคมาชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เรียกร้องอยากให้รัฐบาลไทยจัดโอกาสให้นักธุรกิจทั้งญี่ปุ่นและชาติอื่นได้รับฟังคำชี้แจงและแนวทางแก้ไขปัญหาโดยตรงจากรัฐบาล เพราะที่ผ่านมานักธุรกิจได้รับข้อมูลต่างๆ ผ่านสื่อมาโดยตลอด แต่บริษัทเอกชนต้องการรู้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวในอนาคต
เสียงของคนสองคนที่เสมือนตัวแทนนักลงทุนญี่ปุ่นทั้งหมดร้อนถึงภาครัฐ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่ต้องวางกำหนดพบกับเจโทร ของประเทศญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ ขณะที่ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ก็มีนัดจะพบกับหอการค้าญี่ปุ่น หรือ เจซีซีในวันที่ 28 มกราคม 2553 นี้เช่นกัน
ต่อกรณีนี้บรรดาภาคเอกชนทั้งไทยและบริษัทร่วมทุนเองต่างก็เป็นกังวลว่างานแท้จริงแล้วปมปัญหามีแค่ประเด็นมาบตาพุดเท่านั้นหรือที่ทำให้กลุ่มทุนญี่ปุ่นถึงกับออกอาการถอดใจไปแบบนี้ และภาครัฐควรจะมีการแก้เกมนี้อย่างไรเพื่อดึงความเชื่อมั่นกลับมา
หากพิเคราะห์ให้ดี ปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทยนั้น เริ่มส่งสัญญาณเป็นลบมาตั้งแต่ปัญหาการเมืองไทยมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะในทำเนียบหรือในสภา แต่การเมืองยุคใหม่มีการแสดงพลังกันทั้งด้วยการปิดถนน ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน บุกเวทีการประชุมอาเซียน จนถึงการก่อจลาจลกลางเมือง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนสร้างความไม่มั่นใจต่อนักลงทุนทั้งยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตลาด กระบวนการผลิต และผลประกอบการ
นอกจากประเด็นเหล่านี้แล้ว ประเด็นที่ไทยไม่ควรมองข้ามด้วย คือการเดินตามกรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า)เพราะกรณีอาฟต้าถ้าไทยไม่ปรับตัว โดยยังเน้นที่การเป็นฐานการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานจำนวนมากอยู่ ญี่ปุ่นก็จะหันไปมองประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่าได้เช่นกัน โดยเฉพาะ เวียดนาม แต่ในทางกลับกันถ้าไทยมีการพัฒนาโดยยกระดับสินค้าที่มีมูลค่าต่อชิ้นส่วนให้สูงขึ้นประเทศไทยก็ยังเป็นแหล่งที่น่าลงทุนอยู่ เพราะเวลานี้บทบาททางการค้าโลกเริ่มเปลี่ยนไปแล้วในโลกการค้าไร้พรมแดน ที่นับจากนี้ไปทั้งผู้ลงทุนและผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น
ในขณะที่ ปัญหาแรงงานไทยเริ่มหายากขึ้น เพราะคนเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยเริ่มยืนอยู่ในบทบาทที่แย่งแรงงานไทยด้วยกันเองระหว่างอุตสาหกรรม ขณะที่ยังมีอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ขาดแคลนแรงงานอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเห็นว่าในระยะ4-5 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมากๆในไทยเริ่มหาทางออก โดยการทยอยออกไปขยายฐานการผลิตนอกบ้านบ้างแล้ว
สอดคล้องกับที่ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง มองญี่ปุ่นว่าเป็นกลุ่มทุนที่มีบทบาทที่สุดในประเทศไทย ดังนั้นการออกมาลดเครดิตประเทศไทยโดยดึงเรื่องความน่าลงทุนขึ้นมาพูดครั้งนี้อย่ามองข้ามไป! เพราะมีทั้ง"คำขู่"และ"เอาจริง"ถ้าภาครัฐไม่รีบแก้ไขปัญหา 3 เรื่องให้เร็ว ไล่ตั้งแต่ 1.ต้องรีบยกระดับสินค้า หันไปผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น 2.ปัญหาการเมืองที่สะสมมานาน จนเรื้อรัง 3.ปัญหามาบตาพุดที่กำลังเป็นประเด็นที่ทำให้ญี่ปุ่นยกขึ้นมาพูดถึงความไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย
รศ.ดร.สมชาย มองว่าขณะนี้ปัญหาการเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าประเทศไทยหลุดพ้นจากปัญหาการเมืองทุกอย่างจะกลับมาเร็ว ภาพลักษณ์การลงทุนของไทยในสายตาต่างชาติก็จะดีขึ้นทันที เพราะมีตัวช่วยในแง่อาฟต้า ที่เวลานี้ถ้าเทียบกับประเทศในกลุ่มอาฟต้าไทยเป็นศูนย์กลางของภาคการผลิตที่มีต้นทุนรวมอยู่ในระดับที่แข่งขันได้อยู่แล้วยกเว้นสินค้าที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เพราะมีความได้เปรียบในแง่ฝีมือแรงงาน โดยจะเห็นว่าอุตสาหกรรมที่ไทยเป็นศูนย์กลางในภาคพื้นนี้ที่คือยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ และต่อไปเมื่อมีอาเซียนบวก3บวก6 (กลุ่มอาเซียนคือไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่าบวกจีน,เกาหลี,ญี่ปุ่นและบวกออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย) จะทำให้ประชากรในตลาดดังกล่าวรวมกันมีมากกว่า 2,000 กว่าล้านคน ที่ไทยจะได้อานิสงส์ด้วย ส่วนปัญหามาบตาพุดจะเป็นปัญหาระยะสั้นเกิดผลกระทบในช่วงรอยต่อระหว่างการวางกรอบกฎหมายเพื่อปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 และมาตรการเยียวชุมชนในพื้นที่ แต่ในระยะกลางและระยะยาวนักลงทุนทั่วโลกจะเข้าใจมากขึ้นกรณีที่ไทยมีกติกาเรื่องสิ่งแวดล้อมชัดเจน
เหมือนกับที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ซึ่งประกอบไปด้วยสภาหอการค้าแห่งปะรเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนัดล่าสุด ได้หารือกรณีที่ เจโทร ออกมาแสดงความเห็นว่า ประเทศไทยไม่มีความโดดเด่นที่จะลงทุนเหมือนที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากกรณีปัญหาโครงการมาบตาพุด โดยภาคเอกชนมองว่า เจโทร เป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนญี่ปุ่นในต่างประเทศ และที่ผ่านมานักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนในไทยโดยมีมูลค่าสูงสุด ดังนั้น ความเห็นของเจโทรจึงมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนญี่ปุ่นที่ไม่เคยลงทุนในไทยมาก่อน
ประธานส.อ.ท.กล่าวว่าขณะนี้ยังมองเป็นบวกว่าความเชื่อมั่นของญี่ปุ่นในไทยไม่ได้ถอยไป เพราะในตลาดอาเซียนญี่ปุ่นยังมองไทยเป็นหลัก แต่เนื่องจากเจโทรเป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ผ่านมาอาจจะถูกกดดันจากภาคเอกชนญี่ปุ่นและต้องการให้เจโทรมาหาความชัดเจนจากรัฐบาลไทยมในกรณีปัญหามาบตาพุด เพราะทำให้โครงการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยกระทบไปด้วย และในแง่กกร.เองก็จำเป็นจะต้องส่งสัญญาณบอกรัฐบาลว่าเราไม่รู้อนาคตว่ากลุ่มทุนใหม่จากญี่ปุ่นที่ไม่เคยเข้ามาลงทุนในไทย จะมีท่าทีอย่างไร ซึ่งทุนกลุ่มนี้มีสิทธิ์ที่จะมองฐานการผลิตที่อื่นแทนได้ รวมไปถึงการขยายการลงทุนใหม่จากนักลงทุนที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ ส่วนประเด็นย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปที่อื่นมองว่าทุนญี่ปุ่นไม่ทำเพราะมั่นใจว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆในไทยดีกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนาม ทั้งในแง่การศึกษาสำหรับลูกหลานนักลงทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาพำนักในไทย ที่อยู่อาศัยและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สะดวกกว่า
จากข้อกังวลนี้ในนามกกร.ได้ทำหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปในประเด็นที่ภาคเอกชนเป็นห่วงนักลงทุนต่างชาติรายใหม่ที่ไม่เคยเข้ามาลงทุนในไทยโดยไม่ได้เน้นเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น ที่ไม่เข้าใจปัญหาปัญหามาบตาพุด
"ล่าสุดนายกรัฐมนตรีกำลังจะหารือกับเจโทรและนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อชี้แจงว่าขณะนี้รัฐบาลทำอะไรไปบ้างกรณีปัญหามาบตาพุด และมองว่าการที่ญี่ปุ่นหรือนักลงทุนต่างชาติพูดอะไรออกมารัฐบาลไทยต้องฟัง และต้องอธิบายให้นักลงทุนเข้าใจ ปัญหาต่างๆก็จะจบลงได้"
ส่วนกรณีปัญหาการเมืองเชื่อว่าใครๆก็ตอบไม่ได้ว่าจะจบลงอย่างไร นักการเมืองเองก็ตอบไม่ได้ มันไม่เหมือนปัญหามาบตาพุดที่มีทางจบ ดังนั้นการเมืองสามารถมีการชุมนุมได้แต่อย่าใช้ความรุนแรงก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สุดท้ายไม่ว่าเสียงจากภาครัฐหรือภาคเอกชนจะแสดงความเป็นห่วงภาพลักษณ์การลงทุนไทยมากน้อยแค่ไหน แต่เวลานี้เมื่อพิจารณาจากสถิติตัวเลขเม็ดเงินลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ได้สะท้อนให้เห็นชัดเจนแล้วว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยลดลงอย่างฮวบฮาบ(ดูตาราง) ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มทุนญี่ปุ่นที่เคยเป็นมิตรแท้หอบเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยเม็ดเงินลงทุนมากที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาทุนต่างชาติ ติดต่อมาเป็นเวลา เกิน10 ปี เริ่มมีอาการแผ่วลงแล้วอย่างชัดเจน ถึงแม้มูลค่าเงินลงทุนที่ทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะยังสูงกว่าเม็ดเงินลงทุนจากทุนสัญชาติอื่นก็ตาม แต่นี่ก็เป็นสัญญาณลบที่ไทยต้องเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่นๆได้แล้ว!

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,498 21 -23 มกราคม พ.ศ. 2553

แต่รัฐบาลก็ตอบง่าย ๆ ว่า...
ไตรรงค์ยันนักลงทุนญี่ปุ่นยังสนใจลงทุนไทย

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ กล่าวภายหลัง การหารือกับประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศญี่ปุ่น หรือ เจโทร ว่านักลงทุนของญี่ปุ่น ยังให้ความมั่นใจต่อการลงทุนในไทย เนื่องจากเห็นว่า ยังมีบรรยากาศของการน่าลงทุน ซึ่งยืนยันว่า เคยผ่านพ้นวิกฤติแล้ว ส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ที่ถือว่าญี่ปุ่นได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้น ตนชี้แจงให้เข้าใจว่า ไทยยึดหลักของกฎหมายเป็นสำคัญ โดยเมื่อศาลตัดสินอย่างไร ก็จะปฏิบัติตาม แต่ขณะเดียวกันรัฐบาล ก็พยายามหาแนวทางช่วยเหลือดูแล โดยมีคลินิกพิเศษที่ให้คำปรึกษา และจะมีการออกประกาศของกระทรวง ขณะเดียวกันจะเร่งผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาดูแล ซึ่งคาดว่า จะทันในสมัยการประชุมสภานี้ โดยขั้นตอนทั้งหมด จะใช้เวลาไม่เกิน 5 เดือน

อย่างไรก็ตาม เจโทร มีความเข้าใจดี แต่ยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะไม่ต้องการที่จะให้เหมือน กับเดือนเมษายน ช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ยืนยันว่า รัฐบาลก็จะพยายามดูแลสถานการณ์ด้วย

ที่มา news.sanook.com

0 comments:

แสดงความคิดเห็น

newskythailand Gallery

Twitter Updates (thaksinlive)

Red Twitter ทวิตเตอร์เสื้อแดง

จำนวนผู้เยี่ยมชม