สถานีวิทยุเพื่อประชาชน FM 97.25 MHz

สถานีวิทยุเพื่อประชาชน FM 97.25 MHz เปิดสถานีอย่างเป็นทางการ 30  มกราคม 2553 เยี่ยมชมเว็บไซด์ได้ที่นี่

ระยะสุดท้าย


ที่ประชุม พรรคประชาธิปัตย์ มีมติคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอเรียบร้อยโรงเรียน นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไปแล้ว ด้วยการผนึกกำลังของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ คุณบัญญัติ บรรทัดฐาน คุณชวน หลีกภัย หัก คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขแบ่งเขตการเลือกตั้งเป็นเขตเล็ก อ้างว่าเป็นจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์

งานนี้ รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถูกมองว่าตีสองหน้า ในสายตาของพรรคร่วมรัฐบาล และการทำหน้าที่ผู้จัดการของคุณสุเทพ น่าจะลำบากมากขึ้น

ลำพัง ความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างคุณสุเทพกับแกนนำ พรรคร่วมคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับนายกฯอภิสิทธิ์กับพรรคประชาธิปัตย์

เปลี่ยนแปลงแน่นอน

รวมทั้งความรู้สึกระหว่างคุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพ  ที่มีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น  อนาคตของรัฐนาวาจะเป็นอย่างไร ห้ามกะพริบตา  โอกาสจะยุบสภาหรือวิกฤติการเมืองเข้าสู่กับดักวงจรอุบาทว์

หนีไม่พ้น

ในขณะที่ ภาพพจน์ของพรรคประชาธิปัตย์มีแต่ทรงกับทรุด ในแง่ของวิสัยทัศน์การบริหารงาน ความขัดแย้ง และที่หนักที่สุดก็คือเรื่องของการทุจริตคอรัปชัน

โครงการไทยเข้มแข็ง ที่ระบาดไปเกือบทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการหนักที่สุด ในกรมอาชีวศึกษาแทบจะระบุความไม่ชอบมาพากลได้อย่างชัดเจน

ถามว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ที่การันตีเรื่องของ ความซื่อสัตย์ สุจริตทำอะไรได้บ้าง ปล่อยให้การทุจริตคอรัปชัน โจ๋งครึ่มมากกว่าทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา

คนทุจริตยังลอยนวล

สำนักโพลระบุความเห็นของประชาชน อยากให้ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จากสาเหตุการทุจริตคอรัปชันมากที่สุด

ความเชื่อมั่นของรัฐบาลลดฮวบฮาบ

จึงเป็นเหตุและเป็นผลว่า รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ คงจะเข้าสู่ ระยะสุดท้ายของการบริหารประเทศ วัดใจรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ว่าจะยอมให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นหรือไม่ จะยอมให้มีการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาหรือไม่

หรือตัดสินใจคว่ำกระดานก่อน

ในยามที่ประชาธิปัตย์เสียเปรียบ มีสองทางเลือก ยื่นผลประโยชน์ต่อรองเพื่อซื้อเวลายืดอายุรัฐบาล หรือจุดชนวนปล้นอำนาจประชาธิปไตยอีกกระทอก.

โดยหมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 29 มกราคม 2553, 05:00 น.

เทพ-มาร


โดย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 28 มกราคม 2553

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติในที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคชัดเจนที่จะ “ไม่รับหลักการ” ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตรา ที่พรรคร่วมรัฐบาลกำลังจะเสนอเข้าพิจารณาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเร็ววันนี้ ทำให้ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลต้อง “ขบกรามกรอดๆ” อย่างเงียบๆ ด้วยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง “จำยอม” ที่ต้องร่วมหัวจมท้ายกับพรรคแกนนำ จะขยับไปไหน ก็มีคน “ตีกรอบ” ให้เข้าที่

ทั้งๆที่ในใจนั้น “แค้น” จากการถูก “เบี้ยว” ในข้อตกลงที่เป็น “สัญญาใจ” ว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญเมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ในขณะที่ภายในพรรคประชาธิปัตย์นั้น “อึกอัก” กันหลายคน โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ต้องรับหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ทุกวี่ทุกวัน จะรับปากรับคำมาอย่างไร ไม่มีใครยอมเล่า ที่แน่ๆ นายสุเทพ ถึงกับต้องออกปากเตือนว่า ความขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญ อาจนำไปสู่การ “ยุบสภา” ก่อนกำหนด 2 ปี

แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีทีท่าว่าสนใจ อาจเพราะประเมินแล้วว่า พรรคร่วมไม่มีทางเลือกมาก ต้องอยู่ใน “กรอบ” ที่ใหญ่กว่า คือการค่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ที่มี “ผู้มีบารมี” กำหนดให้เดิน ด้วยแนวทาง “ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา ไม่มีการเลือกตั้ง” เพราะหากไปเส้นทางนั้น โพลล์ลับโพลล์เปิดต่างยืนยันชัยชนะของพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่ง “ยอมไม่ได้” จึงต้อง "ยื้อ” ให้ยาวนานที่สุด ส่วนเรื่อง “รัฐประหาร” นั้น ไม่จำเป็น ไม่เข้าตาจนจริงๆ ไม่ทำ!!

ทั้งยังเป็นต่อในเรื่อง “ภาพลักษณ์” ที่ต้องยกให้พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการยืนบน “หลักการ” ไม่สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะหากสนับสนุนการจะถูกมองว่า การดำเนินการเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองอย่างเดียว เมื่อมีมติเช่นนี้ “ภาพ” ที่ปรากฎกลายเป็นว่าพรรคร่วมเป็น “มาร” เห็นแก่ตัวทำเพื่อตนเอง ส่วนประชาธิปัตย์เป็น “เทพ” ที่มีอุดมการณ์

และภาพ “เทพ-มาร” นี้ จะถูกตอกย้ำไปในอีกหลายๆเรื่อง ที่จะทำให้ พรรคฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาล กลายเป็น “ผู้ร้าย” ของสังคม ส่วน “พระเอก” นั้น มีได้คนเดียว!!

มองผิวเผินเหมือนนักการเมืองฝ่ายเทพจะทำทุกอย่างเพื่อประชาธิปไตยเพื่อประชาชน และพรรคฝ่ายมารจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของขบวนการ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น” ที่เลื่องลือในการเมืองไทยยุคหลังปี 2489 ควบคู่มากับอุบัติขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์

แต่หากมองลึกๆไป “ระหว่างบรรทัด” ภายใต้คำพูดอภิปรายที่ “สวยหรู” หรือการโต้ตอบที่ “กักขระ” แทบจะหาสาระที่เป็นประโยชน์กับประชาชนไม่ได้เลย เพราะที่ทำอยู่เป็นแค่การบริหารภาพลักษณ์ หาใช่อุดมการณ์อะไรที่ลึกซึ้งไม่ หรืออย่างมากก็มองเพียงเพื่อให้ได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ซึ่งก็แปลกที่ไปเชื่อว่าระบบการเลือกตั้งจะช่วยตัวเองได้อย่างนั้นอย่างนี้ตามจินตนาการ เพราะตามข้อเท็จจริงปรากฎในการเลือกตั้งใหญ่ 3 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะในปี 2544 และ 2548 ซึ่งใช้ระบบ “เขตเดียวเบอร์เดียว” และปี 2550 ที่กลับไปใช้ระบบเขตใหญ่ เลือกเป็น “พวง” 3 คน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเครือข่ายตัวแทน ชนะการเลือกตั้ง เข้าที่ 1 ทั้ง 3 ครั้ง ในนามพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน

การเลือกตั้งที่มีขึ้น 2 ครั้ง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งยกร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ซึ่งไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้อง และพรรคไทยรักไทยก็จัดตั้งขึ้นภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น ในปี 2542 ในขณะที่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ถูกยกร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญอีกคณะหนึ่ง ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และมีเป้าหมายชัดเจนที่จะ “สกัด” และ “สลาย” ระบอบทักษิณ จึงยิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปใหญ่

แต่ก็ไม่สามารถทลายปราการของ พ.ต.ท.ทักษิณ สำเร็จได้ทันที ต้องอาศัยคำตัดสินศาล ทั้งในการ “ปลดนายกฯ” และ “ยุบพรรค” ประกอบกับเกมในสภาฯ จึงผลิกแกนได้ เป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่ว่าภายใต้การเลือกตั้งระบบไหน จะเปลี่ยนกติกาอย่างไร เครือข่ายเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเอาชนะได้ ซึ่งยังคงสะท้อนใน “โพลล์” ที่ทำกันในปัจจุบัน

เมื่อเป็นเช่นนั้น การแก้กติกาที่ถกเถียงกันจึงไม่มีประโยชน์อันใดถ้าจะคิดแก้เพียงเพื่อเอาชนะ แต่หากจะคิดแก้รัฐธรรมนูญจะต้องมาวางกันให้ชัดถึงประโยชน์ในการแก้ไขที่จะมีต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่เช่นนั้นข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่ให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ย่อมมีความชอบธรรมมากกว่า

และถ้าจะเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ขบวนการเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง ทั้งเทพทั้งมารต้องกลับไปตั้งหลักใหม่อย่าคิดเพียงว่าเพราะ “เงิน” ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะเลือกตั้ง ทำให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวได้ แต่เป็นเรื่องของการ “ทำงาน” เอา “ชนะใจ” ประชาชน และทำให้เห็นว่าสังคมมีความ “ยุติธรรม” จึงจะทำให้เกิด “ทางเลือก” ในใจคนได้!!

ที่มา: SuranandLIVE

บรรณวิทย์ ฟิวส์ขาด



"บรรณวิทย์"ฟิวส์ขาดโดนถอดรายการซัด "มาร์ค"เหยียบศพข้ามกองเลือดจนได้เป็นนายกฯ เล็งฟ้องฮิวแมนไรท์

"บรรณวิทย์"โวยถูกรบ.สั่งถอด 2 รายการ เหตุเพระวิจารณ์มากไป จวกละเมิดสิทธิสื่อมากสุด ซัด"มาร์ค"เหยียบศพ ข้ามกองเลือดสมัชชาฯ ขับไล่"ทักษิณ" จนได้มานั่งนายกฯ เตรียมฟ้อง "ฮิวแมนไรท์ฯ" ก่อนยืดถอดถอนนายกฯ และให้ป.ป.ช.จัดการ


ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 25 ม.ค. พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพข่าวสารของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 อันเนื่องมาจากการถอดรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “ สู้เพื่อบ้านเมือง ” และรายการวิทยุ “ เสาร์เช้าทันข่าวกับบรรณวิทย์ ” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้บริหารได้เรียกตนเข้าไปพบ พร้อมให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องถอดทั้ง 2 รายการ เพราะวิจารณ์รัฐบาลมากเกินไป โดยทางสถานีแจ้งว่า รัฐบาลขอความร่วมมือมาให้ถอดรายการ ซึ่งทางสถานีก็ต้องการความร่วมมือจากรัฐบาล เพราะผู้บริหารของสถานีถูกดำเนินคดีใช้กำลังส่งเกินกฎหมาย ขณะนี้เรื่องอยู่ที่อัยการ จึงต้องการให้ กมธ.ตรวจสอบเรื่องนี้หากเป็นคำสั่งมาจากรัฐบาลก็สามารถยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งได้

พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนถือเป็นข้าราชการประจำชุดแรกที่ออกมาต่อสู้กับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนมาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และผ่านมาอีก 2 รัฐบาลจนมาถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สมัยที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่บริเวณสะพานมัฆวาน ตอนนั้นนายอภิสิทธิ์ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อต่อสู้จบนายอภิสิทธิ์ค่อยเอาดอกไม้มามอบให้ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนละเมิดสื่อเท่ากับรัฐบาลชุดนี้ ทางสมัชชาฯเสียความรู้สึกมากเพราะนายอภิสิทธิ์ มีภาพที่สะอาด แต่การกระทำสวนทางกับภาพลักษณ์ เราเปรียบเหมือนดอกไม้เล็กๆที่ประดับสังคม

"การที่นายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต้องเหยียบศพ ข้ามกองเลือด เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ ขึ้นมาเป็นรัฐบาล แม้แต่ครั้งล่าสุดที่ในการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้ติดต่อผ่านผมเพื่อขอเข้าพบ แต่กลับออกมาให้ข่าวว่า พล.อ.เปรม เรียกเข้าพบ พวกผมก็เปรียบเหมือนหนามที่ไปตำเท้า ซึ่งอาจจะไม่รู้สึกอะไรแต่รอดูต่อไปว่าจะเป็นบาดทะยักหรือไม่" พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวและว่า ต่อจากนี้ตนจะไปยื่นเรื่องต่อ สภาองค์กรสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ (ฮิวแมน ไรท์ คันซิล ) และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ( ฮิวแมน ไรท์ เฟริสต์ ) และจากนั้นก็จะยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีต่อไป และในวันพุธที่ 27 ม.ค.นี้จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.)สภาผู้แทนราษฎร และไปชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ ด้วย


ด้านนายสมชาย กล่าวว่า กมธ.จะนำเรื่องนี้มาหารือในวันที่ 2 ก.พ.นี้ และจะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง อาทิ ผู้บริหารสถานี และถ้าเกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีก็ต้องเรียกมาชี้แจงเช่นเดียวกัน




ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:11:32 น.

ได้เวลาอำลา

นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การเมืองไทย จะต้องเตรียมบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองอีกหน้า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต่อไปนี้ ไม่ได้อยู่ในแนวทางของ วิถีประชาธิปไตย แต่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่วิกฤติของชาติครั้งรุนแรง

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกย่างก้าวล้วนแต่เป็น เงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งสิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์

และวิสัยทัศน์ของนายกฯอภิสิทธิ์

ชะตากรรมของบ้านเมืองครั้งนี้ต้องบอกว่าอยู่ในมือของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จริงๆ ถ้ายังมีพฤติกรรมเป็นเด็กดื้อ และถูกอำนาจนอกระบบครอบงำต่อไปเรื่อยๆก็จะทำให้ประเทศถึงคราวล่มจม

ในที่สัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ที่  จ.กระบี่  อาการของ รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ส่งสัญญาณไปถึง นายกฯอภิสิทธิ์ และแกนนำคนสำคัญของพรรค

ถ้าไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญตามมติพรรคร่วมรัฐบาล ก็ควรจะยุบสภาเสียตั้งแต่วันนี้ ความนัยที่รองนายกฯสุเทพอยากให้คนในพรรคประชาธิปัตย์ได้รับรู้ก็คือ การเมืองวันข้างหน้า

หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์

หรือไม่อนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เองก็จะถึงจุดจบ กลายเป็นฝ่ายค้านถาวร สัญญาณเตือนที่ส่งมาจาก บรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา  จาก  สมศักดิ์  เทพสุทิน จาก เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

มองอย่างผู้ชำนาญการ มองอย่างคนที่ผ่านโลกการเมืองมาอย่างโชกโชน บ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ การเมืองกำลังจะถึงจุดวิกฤติแตกหัก เพราะฉะนั้น ถ้าความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลไปด้วยกันไม่ได้ ก็ถึงเวลาตัวใครตัวมัน

ความตั้งใจของพรรคร่วมรัฐบาลคือ ไม่อยากเห็นประชาธิปไตยต้องถูกยึดไปอีกครั้ง จึงได้เคลื่อนไหวเพื่อหาทางออกก่อน แต่ถ้านายกฯอภิสิทธิ์จะคิดแต่เพียงว่า เป็นการเสียเปรียบได้เปรียบทางการเมือง  ไม่ยอมยืดหยุ่น  และไม่ รักษาคำพูด

รัฐบาลน่าจะถึงทางตัน

ความแรงของ เสธ.แดงก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เพราะกำลังจะถูกลากเข้าไปอยู่ในมรสุมวิกฤติ หนทางและความเป็นไปได้ของวิกฤติการเมืองไทยเวลานี้ก็คือ ใครจะชิงปิดเกมได้เร็วกว่ากัน เมื่อเริ่มต้นด้วยวิธีตาต่อตาฟันต่อฟันแล้วก็มักจะจบลงที่ความรุนแรงเสมอ สังคมไทยถึงเวลาโชกเลือดอีกกระทอก.


โดย หมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 26 มกราคม 2553

ภาพที่ไปเยี่ยมชมเขาสอยดาว 22มค.2553

ไม่ได้หยิบภาพคนเสื้อแดงฝีมือที่พี่อาร์คแมน มาแปะนานแล้ว วันนี้ได้โอกาส เลยแอบหยิบมาบางรูป














ดูภาพทั้งหมดได้ที่นี่

สายตาชาวโลก


กรณีองค์การ ฮิวแมนไรต์วอตช์ ออกรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2552 ในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก โดยระบุว่า รัฐบาลของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ระบุรายละเอียดถึงเรื่องของการไร้มาตรฐานหรือสองมาตรฐานในการบริหารประเทศ จนทำให้เกิดความแตกแยกและขัดแย้งอย่างชัดเจน

งามหน้าดีพิลึก

ก่อนหน้านี้ คงจะจำกันได้มีรายงานองค์การที่เกี่ยวข้องกับ ประชาธิปไตย บริจาคทุนในการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ ไทยมาแล้ว

ถูกมองว่าอยู่ในระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา

และที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลทำได้แค่ 2 ประการก็คือ แก้หน้าและแก้ตัว แต่ไม่เคยปรับปรุงภาพพจน์ของประเทศ ปล่อยให้อึมครึมมาโดยตลอด

อ่านข่าว คุณกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆว่า ฮิวแมนไรต์สำรวจไว้ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้ หรือกระทั่ง คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ออกมาแก้ตัวข้างๆคูๆว่า มีความคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง อ้างความเห็นรัฐบาลอเมริกาชื่นชอบรัฐบาลชุดนี้ เอา คนละเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกันหน้าตาเฉย

โดยเฉพาะการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา คุณสาทิตย์อ้างว่าได้รับคำชมเชยว่าไม่มีความสูญเสีย แล้วคุณสาทิตย์ก็โยงว่ามีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลส่งข้อมูลไปให้กับฮิวแมนไรต์ก็คงจะหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และคนเสื้อแดงตามถนัด

ในทางสามัญสำนึก รายงานของฮิวแมนไรต์ เป็นรายงานประจำปี เมื่อสำรวจจากสถานการณ์ปีที่แล้วก็แปลว่าต้องเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ จะไปโทษรัฐบาลอื่นๆก็คงเป็นไม่ได้

ไม่ควรจะมาตะแบง

นอกจากนี้ องค์การสากลอย่างฮิวแมนไรต์ คงไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุมห้า เพราะมีการันตีได้รับความเชื่อถือจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกมานาน ไม่ใช่หน่วยงานเฉพาะกิจ หรือล็อบบี้ยีสต์ที่ไหน ถ้าไม่มีความแน่นอนเที่ยงตรงก็คงอยู่ไม่ได้จนถึงวันนี้

อยากให้ไปอ่านรายงานภาคภาษาอังกฤษ ที่ต้องถือว่าแรงพอสมควร เราฟังภาษาไทยคำว่า ไร้สิทธิมนุษยชน หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนมาจนชิน หรือคำว่า มาตรฐานไม่มีมาตรฐาน ไร้ มาตรฐาน สองมาตรฐานมาจนเป็นเรื่องธรรมดาซะแล้ว รวมทั้งการปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่มีมาตรฐาน

เราอาจจะชิน แต่ต่างชาติถือเป็นเรื่องใหญ่

โดยมารยาททางสังคม บ้านเราจะดูด้อยพัฒนาขนาดไหน ก็คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะมาคอยซ้ำเติมว่าเราด้อยพัฒนาอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่การกระทำของเรากันเองนี่แหละ ที่ประจานตัวเองว่าเราด้อยพัฒนา จะ เสธ.แดง จะคนเสื้อแดงก็เป็นคนไทย ใช้อำนาจรัฐอำนาจของกฎหมายก็ควรจะอยู่ในขอบเขตที่พอดี


โดย หมัดเหล็ก คอลัมน์ คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 25 มกราคม 2553

“อนุพงษ์”ถกเครียด 5 เสือ สั่งนขต.ทบ.ไล่ล่า“เสธ.แดง”

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก ประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์หลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารบก (สห.ทบ.) สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้น
บ้านพัก พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และลูกน้องคนสนิทที่ ม.พัน.3 รอ.และ ม.พัน.4 รอ. พบอาวุธสงครามจำนวนมาก รวมทั้งได้หารือกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะเหตุการณ์ออกมาจับพล.ต.ขัตติยะ เป็นเงือนไขในการชุมนุมอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังได้สั่งการให้หน่วยทหารขึ้นตรงกองทัพบกสอดส่องดูแลภายในหน่วยทหารทั่วกรุงเทพฯ และตรวจตราคลังอาวุธของหน่วยทหาร รวมทั้งประเมินเหตุการณ์ในช่วงต่อจากนี้ ซึ่งจะส่อเค้ารุนแรงที่เกรงว่ากลุ่มเสื้อแดงอาจยกเงื่อนไขนี้นำมารวมตัวชุมนุม ทั้งนี้ที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศ หากพบเห็น พล.ต.ขัตติยะ ให้จับตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันที โดย พล.อ.อนุพงษ์ ได้ย้ำในที่ประชุมให้เพิ่มความระมัดระวังหน่วยที่ตั้งของทหารทุกจุด รวมทั้งดูแลคลังอาวุธ โดยให้เพิ่มทหารเวรยาม และตรวจตราถี่ขึ้นเพื่อป้องกันการปล้น และการลักลอบนำอาวุธจากหน่วยออกไปใช้ทั้งนี้พล.อ.อนุพงษ์ ได้ปรารภกับนายทหารระดับ 5 เสือ โดยเฉพาะการตำหนิสื่อมวลชนที่พยายามเสนอข่าวว่าการจับกุม พล.ต.ขัตติยะ เป็นการกลั่นแกล้ง ทั้งที่เป็นความผิดที่มีหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องการเห็นสื่อเสนอข่าวโดยเปรียบ พล.ต.ขัตติยะ เป็นฮีโร่ เพราะขณะนี้หลักฐานะอะไรชัดแจ้งขึ้นมาหมด เกรงจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด รวมทั้งตำรวจยังนำหลักฐานการยิงกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในหลายๆครั้งที่ผ่านมา สื่อต้องให้ความเป็นกลาง เรารู้และทราบพฤติกรรมที่ผ่านมาของ พล.ต.ขัตติยะ ที่สวมเครื่องแบบทหารเป็นข้าราชการของกระทรวงกลาโหม แต่กลับมาด่าทอผู้บังคับบัญชา ใช้วาจาข่มขู่ จะกระทืบบ้าง จะยิงบ้าง มันชัดเจน ว่าทหารคนนี้ไม่มีวินัย ไร้ระเบียบต่อเครื่องแบบ แถมยังทำผิดกฎระเบียบกองทัพมาโดยตลอด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ข้อหาทุกอย่างชัดเจน มีการครอบครองวัตถุอาวุธสงคราม วัตถุระเบิดกระสุน และปืน โดยเฉพาะที่บ้านพักพลขับ คือ จ.ส.อ.ณัฎฐ์สิทธิ์ สุวรรณราช ถามว่าพลขับจะกล้ามาสะสมหรือครอบครองอาวุธสงครามจำนวนมากอย่างนี้ ซึ่งต้องเป็นของ เสธ.แดง แน่นอนฉะนั้นอาวุธต่างๆที่จับได้ต้องนำไปขยายความเพื่อดูความผิดว่า เคยนำไปใช้ก่อนเหตุที่ไหนบ้าง ขณะนี้ตำรวจออกหมายจับเรียบร้อยนอกจากนี้ ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ยังได้เพิ่มระบบการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยให้เข้มงวดการเข้า–ออกของบุคคลภายนอก และรถยนต์ที่เข้าออกในบริเวณ บก.ทบ.ทั้งได้เพิ่มกำลังพลในการตรวจตราเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำสุนัขทหารเข้ามาดมกลิ่นวัตถุระเบิดเพิ่มขึ้น และให้กำลังพลทุกคนสังเกตสิ่งแปลกปลอม พร้อมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือ ซีซีทีวี ทั่วบก.ทบ.อีก 60 ตัว เพื่อเป็นมาตรการรักษาความปอลดภัย

ที่มา ผู้สื่อข่าว ISNHOTNEWS 22 มกราคม 255

หมายเหตุ*
เราก็ได้แต่หวังว่างานนี้จะไม่ใช่เป็นการ สร้างสถานการณ์โยนขี้ให้เสธแดง เพราะพวกท่านถนัดกันนักเรื่องเน่าๆ จะทำอะไรก็ให้นึกถึงบาปบุญคุณโทษ ที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานหรือคนที่เขาใช้นามสกุลร่วมกับท่านบ้างก็แล้วกัน

มะกันตั้งข้อหาจุฑามาศรับสินบน



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553 12:22
ศาลแอลเอตั้งข้อหาจุฑามาศ-บุตรสาวรับสินบนงานภาพยนต์นานาชาติ
สำนักข่าวเอพี รายงานเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ที่นครลอสแองเจลีส รัฐแคลิฟอร์เนียว่านางจุทามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับบุตรสาวซึ่งในรายงานข่าวไม่ได้ระบุชื่อ ได้ถูกศาลในนครลอสแองเจลีสตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับคดีรับสินบนสำหรับการจัดงานเทศกาลภาพยนต์นานาชาติกรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น โดยเธอกับบุตรสาวได้ถูกตั้งข้อหาสมคบคิดและข้อหาอื่นๆอีก 8 กระทง

อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐระบุว่านางจุฑามาศได้รับเงินสินบนจำนวน 1.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 60 ล้านบาท) จากนายเจอราล์ด และนางแพทริเซีย กรีน นักสร้างภาพยนต์ชาวนครลอส แองเจลีส เพื่อให้ทั้งคู่ได้จัดงานนิทรรศการภาพยนต์กรุงเทพฯ และได้ทำข้อตกลงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย

รายงานข่าวระบุด้วยว่าคู่สามีภรรยากรีนถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วในข้อหาสมรู้ร่วมคิดและฟอกเงิน และมีกำหนดจะถูกตัดสินโทษในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นและรายงานข่าวระบุด้วยว่า ยังไม่แน่ชัดว่านางจุฑามาศกับบุตรสาวอยู่ในระหว่างถูกควบคุมตัวหรือไม่

ที่มา : http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=86368

ในโพสทูเดย์มีคนแสดงความเห็นพยายามโยงเรื่องนี้ไปที่ทักษิณอีก ก็คงเป็นเพราะ คุณจุฑามาศ เคยเป็นผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมัยรัฐบาลทักษิณมั้ง เลยลองค้นข้อมูลดูจึงพบว่า คุณจุฑามาศเคยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน และเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบสัดส่วน กลุ่มที่ 6 แต่ต่อมาได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ก่อนถึงวันเลือกตั้งเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเกิดข่าว คดีชาวต่างชาติ จ่ายเงินติดสินบน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

อ่านข่าวเก่าเพิ่มได้อีกที่นึง http://www.apacnews.net/newsages1_2007/jutamas359.htm

ว่าจะหาต้นตอข่าวจากเว็บสำนักข่าวเอพี แต่ยังไม่เจอ ไปเจอยูทูปอันนี้ซะก่อน ไม่เกี่ยวกับข่าวคุณจุฑามาศหรอก แต่ลองดูแล้วกัน



ช่วยกันบอกต่อ"ปิดบัญชี"


ถึงเวลาแล้วที่พี่น้อง ที่รักประชาธิปไตย ต้องพร้อมใจกันปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ เพื่อสั่งสอนพวกอำมาตย์ นี่เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่คนเสื้อแดงจะทำได้

และขอถ่ายทอดข่าวนี้มายังพี่น้องเสื้อแดง บางท่านอาจจะยังไม่ทราบ ถ้าจะเลิกทำธุรกรรมกับธนาคารใด ให้ระบุในเอกสารว่า ปิดบัญชี เขาต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เรา 6 เดือนแต่ถ้าเขียนระบุจำนวนเงิน(ทั้งหมด)ออก เราจะไม่ได้ดอกเบี้ยค่ะ(คนวงในธนาคารบอกมา) ซึ่งเป็นเรื่องที่"ธนาคารปิดเรื่องนี้" ไม่ให้ลูกค้าทราบ-กลัวเสียเปรียบ,เห็นแก่ตัวนั่นเอง

ทนายของแผ่นดิน



เริ่มต้นอยากจะให้ผู้อ่านนึกไว้ในใจก่อนว่า เราควรแยกให้ออกระหว่าง ระบบ กับ ตัวบุคคล

กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เรื่องที่ดินเขายายเที่ยง บางคนอาจจะบอกว่า อัยการไม่ใช่ศาล ตัดสินได้อย่างไร ทำให้ผมนึกถึงอีกคดีนึง คือคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีราชนิกุลกลุ่มนึงก็ออกมาโวยวายเหมือนกัน ว่าอัยการไม่ใช่ศาล ตัดสินคดีได้อย่างไร

ถูกต้องแล้วอัยการไม่ใช่ศาล แต่นี่เป็นกระบวนการยุติธรรม หากรัฐเสียหาย หรือเป็นความผิดทางอาญา อัยการจะทำหน้าที่เป็นทนายของแผ่นดิน สั่งฟ้องหากคดีมีมูล สั่งไม่ฟ้องหากสำนวนอ่อน พูดง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านคือ ถ้าดูตามข้อเท็จจริงกับข้อกฏหมายแล้วมีแนวโน้มว่าจะชนะ ก็สั่งฟ้อง

สองกรณีข้างต้น ถ้าถามว่าอัยการมีสิทิ์ที่จะทำหรือไม่ ตามระบบ หรือ ตามกระบวนการแล้ว ตอบว่าทำได้ แต่ถ้าถามว่า สมเหตุสมผล ถูกต้องตามข้อกฏหมายหรือไม่ ต้องดูในรายละเอียดอีกที

กรณีเขายายเที่ยง อาจจะค้านสายตาประชาชนอยู่มาก เพราะมีข้อโต้แย้งออกมามาก และฟังดูจะมีน้ำหนัก ทำไมชาวบ้านรุกที่ป่าสงวนที่เชิงเขาถึงผิดต้องติดคุก แต่กรณีองคมนตรี สร้างบ้านใหญ่โตบนภูเขา อัยการสั่งไม่ฟ้อง อ้างว่าไม่มีเจตนา

ย้อนกลับมาที่ประเด็นที่ว่า เราควรแยกให้ออกระหว่าง ระบบ กับ ตัวบุคคล อีกที กรณีเขายายเที่ยง ต้องตั้งคำถามใส่เควชชั่นมาส์กตัวโต ๆ ว่า อัยการคนที่สั่งไม่ฟ้องนั้นทำตามหลักการแล้วหรือไม่ ในองค์กรของอัยการ มีบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ อยู่หลายคน ด้วยความรู้กฎหมายอันน้อยนิดจึงทำให้ไม่รู้ว่า มีบทลงโทษ อัยการที่สั่งคดีโดยผิดหลักการหรือไม่

ถึงเวลา รีเอนจิเนียริ่ง กระบวนการยุติธรรมแล้วหรือยัง?

เขาไม่เที่ยง


เขาเอย…เขายายเที่ยง
จู่จู่เขาก็เอียงเที่ยงไม่ถึง
รู้ว่า “ยาย” เอียงถลาเพราะ “ตา” ดึง
เขายายเที่ยงล้มตึงเพราะตาเอียง

ทุกคนก่อนร่อนชะไรใจเคารพ
เอาหน้าซบนบฝ่าเพราะตาเที่ยง
แต่เวลาผ่านไปหัวใจเอียง
ทั้งยายตาขาเที่ยงก็เดี้ยงไป

ใจมนุษย์สุดจะอ่อนท่านสอนสั่ง
จะอยู่วังอย่างเจ้าหรือชาวไพร่
หากอัตตาเต็มล้นก็จนใจ
ต้องถึงวันบรรลัยจัญไรกิน

อันภูผาป่าถ้ำล้วนธรรมชาติ
ดั่งดินฟ้าอากาศและท้องถิ่น
เขายายเที่ยงทอดอยู่คู่ธรนินทร์
เป็นสมบัติแผ่นดินมานมนาน

แต่มนุษย์ใจร้ายย้ายไปอยู่
เอาหลักกูก้องท้าอย่างหน้าด้าน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ยาวนาน
เพื่อลูกหลานภายหน้ากลับคว้าครอง

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ใช่หรือนี่
แถมเป็นองคมนตรีไม่มีสอง
นายกรัฐมนตรีก็เคยครอง
แต่ครรลองของคุณคือขุนโจร

เอาเปรียบได้เปรียบดีดั่งผีปอบ
ปกคลุมครอบไว้ทั้งตัวด้วยหัวโขน
ใช้ความนิ่งเข้าฉาบความหยาบโลน
จนผู้คนนึกว่าโจรคือตัวจริง

นี่ล่ะ…เมืองไทยใต้อำมาตย์
เราคือชาติคนดีแต่ผีสิง
ถูกหลอกหลอนซ่อนเร้นไม่เห็นจริง
จึงเห็นสิ่งโสมมเป็นสมควร

คนชั่วก็ต้องชั่วไม่กลัวบาป
ถึงสร้างภาพสวยสะอาดก็ขาดด้วน
เอาคนชั่วนั่งเมืองจนเครื่องรวน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ใครกัน

สุรยุทธ์ ​จุลานนท์ คนของใคร
เป็นหนึ่งในเทวดาตกสวรรค์
สร้างภาพลักษณ์หนักหนาสารพัน
พอถึงวันสัจธรรมก็นำทาง

ใครว่าองคมนตรีดีเสมอ
ใครที่เผลออิงแอบเอาแบบอย่าง
ก็จะพบมวลชนบนเส้นทาง
ยืนหยัดขวางทางกลุ้มรุมลงทัณฑ์

เพราะการเมืองเรื่องอำมาตย์ชาติใกล้ดับ
มวลชนจึงเคลื่อนขยับกลับหลังหัน
เมื่อสัจจะประจักษ์แจ้งดั่งแสงตะวัน
ก็ถึงวันเคลื่อนพลเพื่อคนไทย

ขึ้นเถิด…พวกเรายอดเขานั่น
สัญลักษณ์สำคัญอย่าหวั่นไหว
ขึ้นไปปักธงแดงให้แจ้งใจ
เราคนไทย…ใช่ทาสอำมาตย์เดิม



โดย จักรภพ เพ็ญแข
คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 33

ทางออกหวยออนไลน์



ที่ประชุม คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี คุณนราพัฒน์ แก้วทอง เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาเพื่อหาทางออกในการจำหน่ายหวยออนไลน์ โดยมี นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร่วมชี้แจงถึงแนวทางตามนโยบายของรัฐบาลไปเมื่อวันก่อน ผลสรุปคือ

ล้มหวยออนไลน์แน่นอน

ตามข้อเสนอที่นายกฯอธิบายในที่ประชุมก็คือ รัฐบาลจะพิจารณาหาทางออกด้วยความเป็นธรรมกับบริษัทเอกชน อาทิ อาจจะนำเครื่องจำหน่ายสลากอัตโนมัติที่สั่งซื้อเข้ามาแล้วไปใช้ในกิจการอื่นๆ เช่น ขายตั๋วโดยสาร ขายสลากออมสิน หรืออาจจะนำมาจำหน่ายสลาก 6 ตัว หรือพูดง่ายๆก็คือสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบันนี่แหละ

เหตุผลที่นายกฯอภิสิทธิ์พยายามจะยกมาเป็นข้ออ้างในการเลิกหวยออนไลน์ก็คือ กิจการใดๆที่ผิดกฎหมายแพร่หลายแล้วทำให้กิจกรรมนั้นถูกต้องตามกฎหมาย อาจจะกระทบทัศนคติค่านิยมของคน เมื่อมีช่องทางการพนันถูกกฎหมายคนก็อาจไปลองเล่น แต่ถ้าผิดกฎหมายคนก็อาจจะคิดว่าไปเล่นดีหรือไม่เล่นดีหวยใต้ดินมีเงื่อนไขการเล่นที่ต่างกัน หวยบนดินคนเล่นเพิ่มขึ้นก็เป็น คนที่ไม่เคยเล่น

ฟังดูทะแม่งชอบกล

หมายความว่า หวยใต้ดินมีขาประจำเล่นอยู่แล้วไม่เป็นไร หยวนๆ แต่หวยบนดินมีไม่ได้ เพราะกลัวคนที่ไม่เคยเล่นการพนันจะเล่นการพนัน ฟังดูเหตุผลค่อนข้างจะแอบแฝงพอสมควร จุดหมายของหวยบนดินก็คือต้องการที่จะล้มหวยใต้ดิน ไม่เกี่ยวกับพฤติกรรมที่คนจะเล่นหวยมากขึ้นหรือน้อยลง คนไม่เล่นหวยต่อให้มาเคาะประตูเรียกก็ไม่เล่น คนที่ไม่ฝักใฝ่ในอบายมุขไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

ก็มาถึงคำถามในที่ประชุมกรรมาธิการฯที่ว่า เรื่องหวยแพงรัฐบาลจะจัดการอย่างไร ทำไมปล่อยให้ 5 เสือกองสลาก ปล่อยให้เจ๊แดง-เจ๊เสลี่ยง แสวงหาผลประโยชน์จากการผูกขาดโควตาหวยและจากการขายสลากเกินราคาอย่างลอยนวล

แล้วรัฐบาลจะมีมาตรการจัดการกับเจ้ามือหวยใต้ดินอย่างไร

ไม่มีคำตอบจากนายกฯอภิสิทธิ์ นอกจากจะอ้างหลักกฎหมายไปตามเรื่องตามราว เรื่องที่จะรื้อบรรดาเหลือบในกองสลาก เรื่องที่จะทำสงครามกับเจ้ามือหวยใต้ดิน สมควรจะเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลมากกว่า การที่จะมาตามล้างตามเช็ดหวยออนไลน์ตั้งเยอะ

แต่รัฐบาลกลับละเลย

ในทางกฎหมายถือว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ขืนมีใครเอาเรื่องนี้ไปร้องเรียนนายกฯอภิสิทธิ์คงไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบ

เพราะฉะนั้นการที่ รัฐบาลจ้องแต่จะล้มหวยออนไลน์ท่าเดียวจึงมีพิรุธ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่โปร่งใส และทำให้ประเทศต้องเสียประโยชน์ไปจำนวนมหาศาล ต้องเสียค่าโง่ซ้ำๆซากๆ.


โดยหมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐ, 16 มกราคม 2553

การ์ตูนเซีย 16/01/53


อุ้มไม่อุ้ม



ประเทศไทยใกล้จะเข้าสู่จุดวิกฤติเต็มที เพราะการไม่มีมาตรฐาน ความเป็นธรรม นี่แหละนำไปสู่จุดวิกฤติบ้านเมือง ติดตามข่าวกรณีอัยการพิเศษมีคำสั่งฟ้อง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผบก.ภ.5 และพวกอีก 5 คน ข้อหาอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ต้องลุ้นทุกขั้นทุกตอน

โดยเฉพาะ รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ติดตามเรื่องเหล่านี้มาถึง 13 รัฐบาล และเหลือฟางเส้นสุดท้ายก่อนที่คดีความจะหมดอายุความในเดือน ก.พ.นี้

สมมติรัฐบาลไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนออกมา ทราบว่าประเทศซาอุดีอาระเบียเตรียมใช้มาตรการทางการทูตกดดัน เตรียมปิดสถานทูตซาอุดีอาระเบียในประเทศไทย ตัดสัมพันธ์ ทางการทูต เอาแน่

เรื่องของคดีความจะไปถึงไหนอย่างไร ต่อไปนี้ เป็นขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า และตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด

แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลก็จะต้องแสดงความโปร่งใส ควบคู่กันไปด้วย ถามว่ารัฐบาลให้ความเป็นธรรมตามมาตรฐานที่ใช้ปฏิบัติกับข้าราชการที่ถูกกล่าวหาเช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมาหรือไม่

คดีนี้ เป็นคดีที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นคดีอาญาร้ายแรง มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญและมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตก

เป็นผู้ต้องหา เพราะฉะนั้นจะต้องกระทำการอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหา

มาตรฐานที่ผ่านมาที่ใช้ปฏิบัติกับคนทั่วไป คดีมีลำดับความสำคัญน้อยกว่าคดีนี้ด้วยซ้ำไป ยังไม่มีการให้ประกันตัว เพราะ เกรงว่าจะมีการทำลายหลักฐานและบังคับข่มขู่พยานทำให้เสียรูปคดี

นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจหน้าที่ในการที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการสู้คดี สมควรต้องมีการสั่งพักราชการ เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ถึงกฎเหล็กของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่มีการระบุเอาไว้ แต่โดยมาตรฐานที่รัฐบาลควรจะมีสำนึก ควรจะปฏิบัติต่อกรณีอย่างไร เห็นทีไม่ต้องมาอธิบายความกันมาก อยู่ที่ว่านายกฯอภิสิทธิ์จะกล้าขัดใจใครบางคนหรือไม่เท่านั้น

สงสารประเทศไทย สงสารคนไทยที่ต้องตกเป็นตัวประกันซ้ำซาก

ยังมีเรื่องที่ต้องติดตามอีกหลายเรื่องเพราะจะเกี่ยวข้องส่งผลกับวิกฤติบ้านเมืองทั้งนั้น คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านใกล้จะปิดบัญชี ต้องพิสูจน์ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจากอำนาจหน้าที่หรือไม่

หรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจหรือไม่.


โดยหมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 15 มกราคม 2553

การ์ตูนเซีย 15/01/53


กรณีเขายายเที่ยง : สะท้อนระบบยุติธรรมที่พิกลพิการ


"ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้น  เนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่๒ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้..." จาตุรนต์ ฉายแสง

กรณีเขายายเที่ยง : สะท้อนระบบยุติธรรมที่พิกลพิการ
จาตุรนต์ ฉายแสง
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2010

         การที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตัดสินใจยังไม่คืนที่ดินที่เขายายเที่ยงจนกว่ากรมป่าไม้จะพิจารณาเสร็จ  เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก ทั้งยังเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนาอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

         “ขอเรียนว่าจากการที่โฆษกสำนักอัยการสูงสุดได้ชี้แจงและได้รับทราบว่า คณะกรรมการกรมป่าไม้จะดำเนินการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด  ตอบได้เพียงว่า ผมพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อกรมป่าไม้พิจารณาว่ามีคำชี้ขาดเป็นอย่างไร  พร้อมปฏิบัติตามนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี (1)

         ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้นเนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่๒ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้

         เมื่ออัยการวินิจฉัยว่า“ไม่เจตนา” (2) ซึ่งฟังไม่ขึ้นนั้น หากพิจาณาตามคำวินิจฉัยของอัยการก็อาจตั้งคำถามว่าไม่เจตนาทำอะไร  ที่อัยการไม่ได้พูดให้ชัดเจนคงเป็นเพราะจะได้ฟังดูดีหน่อย แต่คำตอบก็คือไม่เจตนาทำผิดกฎหมายหรือทำผิดกฎหมายโดยไม่เจตนานั่นเอง (3) ถ้าถามว่าเหตุใดจึงเห็นว่าไม่เจตนา อัยการก็คงตอบว่า เพราะขณะที่ซื้อนั้นพล.อ.สุรุยทธ์คงไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซึ่งก็ฟังไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว

         คำถามง่ายๆจึงมีต่อไปว่า  แล้ววันนี้พล.อ.สุรยุทธ์ รู้แล้วหรือยังว่าการกระทำของตนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย คำตอบก็คือย่อมต้องรู้แน่แล้ว หรือควรจะต้องเรียกว่ายิ่งรู้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วว่าผิดกฎหมาย ถามต่อไปอีกว่าเมื่อรู้แล้วว่าครอบครองที่ดินอยู่โดยผิดกฎหมายแต่กลับไม่ยอมคืนที่ดินนั้นให้แก่ทางราชการ ยังจะถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนาอยู่อีกหรือไม่  คำตอบย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาอย่างสมบูรณ์ จะอ้างว่าไม่รู้อีกไม่ได้แล้ว

         “ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ​ทราบตั้งแต่ตอนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาแล้วว่า อย่างไรก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ แต่ที่ซื้อมานั้น ก็เพื่อต้องการใช้สิทธิในการทำประโยชน์​ในพื้นที่ … หากทางราชการมีความต้องการที่ดินแปลงนี้คืน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็พร้อมที่จะคืนให้ทันที เพราะ พล.อ.สุรยุทธ์ มีความเคารพในกติกาของบ้านเมืองอยู่แล้ว”  พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิท พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์  (4)

          การที่กรมป่าไม้จะต้องใช้เวลาอีก ๖๐ วัน (5) (6) (7) จึงกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล กลายเป็นไม่มีใครรักษากฎหมายทั้งๆที่มีการกระทำผิดกฎหมายให้เห็นอยู่ทนโท่  การปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอยู่อย่างพิลึกพิลั่นนี้ รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อการรักษากฎหมายบ้านเมือง ตอกย้ำความไม่ยุติธรรมหรือความเป็นสองมาตรฐานอย่างชัดเจนและยังทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของพล.อ.สุรยุทธ์เองที่นอกจากไม่ยอมรับผิดแล้วยังเย้ยกฎหมายอีกด้วย

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้เปรียบเหมือนมีคนขโมยของๆทางราชการไป  สมมุติว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ก็แล้วกันปรากฏว่ามีคนรับซื้อรถคันนั้นไว้ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นรถของกรมป่าไม้  ต่อมามีคนไปแจ้งความตำรวจๆสืบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้อัยการๆพิจารณาแล้วเห็นว่าผิดฐานรับซื้อของโจร แต่เห็นว่าไม่เจตนาจึงสั่งไม่ฟ้อง แต่เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ผู้รับซื้อของโจรรายนี้ก็ยังใช้รถคันนั้นต่อไปได้  ถ้าปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ได้ ต่อไปก็คงยุ่งกันใหญ่

          นอกจากเรื่องนี้ไม่ยุติลงอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมแล้ว  ยังมีแนวโน้มที่จะบานปลายเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก  สืบเนื่องจากการอธิบายแก้ต่างโดยเพื่อนสนิทของพล.อ.สุรยุทธ์เองที่บอกว่าถ้าต้องเอาที่ดินคืนจากพล.อ.สุรยุทธ์ก็ต้องเอาที่ดินคืนจากประชาชนอีกหลายหมื่นครอบครัวด้วย (8)  ผู้ที่ช่วยอธิบายนี้คงคิดอย่างนั้นจริงๆ  แต่คงลืมไปว่ากำลังอธิบายแทนอดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรีซึ่งสังคมไทยมักได้รับการบอกเล่าว่าเป็นคนดี มีคุณธรรมที่ไม่พึงอ้างการกระทำผิดกฎหมายของคนธรรมดาสามัญทั้งหลายมาเป็นความชอบธรรมที่ตนจะทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน ซ้ำยังไม่ต้องรับโทษใดๆและหากตนต้องรับโทษก็ต้องลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายให้เท่าเทียมกันด้วย

          ความคิดแบบอภิสิทธิ์ชนเช่นนี้ มีผลลุกลามต่อเนื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อยอีก ๒ กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ใหญ่บางคนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สั่งการให้หาทางเอาที่ดินคืนจากชาวบ้านหลายหมื่นครอบครัวที่บุกรุกที่ป่าสงวน  กับอีกกลุ่ม คือ สื่อมวลชนบางรายที่ประกาศรณรงค์ให้เอาที่ดินที่ถูกบุกรุกคืนมา การเคลื่อนไหวของคน ๒ กลุ่มนี้ถ้าเป็นภาวะปกติก็พอเข้าใจได้  แต่เมื่อมาเกิดขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงกับกรณีเขายายเที่ยงก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่าเป็นการแก้แค้นแทนบุคลที่คนเหล่านี้ศรัทธายกย่องอยู่   ทำนองว่าบังอาจมาเอาที่ดินของท่านคืนกันได้อย่างไร  ต้องสั่งสอนเสียบ้าง หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็คงโกลาหลกันพอสมควร  ที่สำคัญก็จะไม่แก้ปัญหาอะไร  แต่กลับจะมีปัญหาตามมาอีกมาก ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่จะขัดขวางการแก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวน แต่เห็นว่าหากจะแก้จริงก็ต้องดูปัญหาในภาพรวมและแก้อย่างเป็นธรรมเพื่อรักษาป่าให้ได้จริงพร้อมทั้งคำนึงถึงความสงบสุขด้วย

          กรณีที่ดินเขายายเที่ยงนี้เป็นตัวอย่างของความเป็น “สองมาตรฐาน” ของระบบยุติธรรมของประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง  แม้ว่าผู้ที่ทำผิดกฎหมายอาจยังไม่ถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรม แต่สังคมก็ได้พิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว  หากมีการร้องเรียนให้พิจารณาความผิดและลงโทษผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเนื่องจากคงหวังอะไรได้ไม่มากนักจากระบบปัจจุบัน  แต่การเรียกร้องต่างๆที่จะมีขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าระบบปัจจุบันพิกลพิการอย่างไรและสังคมไทยควรทำอย่างไรกับระบบที่ไม่ยุติธรรมนี้กันต่อไป

                                                                              0000

อ้างอิง
1. “เขายายเที่ยงยืด บิ๊กแอ้ดดื้อ เมินแสดงสปิริต” ไทยรัฐออนไลน์
2. “อัยการไม่สั่งฟ้อง ขาดเจตนา รุกเขายายเที่ยง” ไทยรัฐออนไลน์
3. "สุรยุทธ์" ไม่มีความผิดบุกรุกที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง แต่โฆษกอัยการแจงไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ชี้การเอาที่ดินคืนเป็นหน้าที่ป่าไม้    
4.ซื้อทำประโยชน์ เขายายเที่ยง รู้ไม่มีสิทธิครอง 
5. “กรมป่าไม้ซื้อเวลา สอบ 60 วัน รุกเขายายเที่ยง”
6. “ป่าไม้รอสำนวนอัยการ มั่นใจ 7 วันชี้ขาดเขายายเที่ยง
7.  “ป่าไม้นัดเร่งถก สางปม'ยายเที่ยง' พฤหัสฯ14 ม.ค.
8. 'เพื่อนซี้แอ้ด'ออกโรงขู่ เอาที่คืนต้อง'ทำทุกคน' ไม่ใช่แค่'เขายายเที่ยง' แต่ต้องทำ'ทั้งประเทศ' 

จอมมารสร้างภาพ


ในที่สุด หน้ากากผู้ดีจอมปลอม ก็ถูกเปิดเผยขึ้นโดยคนเสื้อแดง วันนี้มาถึงคิวของคนที่ชื่อ สุรยุทธ์ จุลานนท์ คนที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดีมี คุณธรรม จริยธรรม (ตามที่ป๋าบอก)
เรื่องเขายายเที่ยง เป็นการทำผิดกฎหมาย "ผิดอย่างร้ายแรงด้วย" แต่ผลจากการสร้างภาพทำให้สังคมไทย โดยเฉพาะพวกที่มีการศึกษาสูงๆยังชื่นชมคนที่มีภาพลักษณ์ดี
เพราะเมืองไทย "คนมีการศึกษา" จำนวนมาก มัวแต่ "ชื่นชม" คนในฐานะเรื่องบุคคลิกลักษณะ จึงทำให้สังคมโดยรวม ตกเป็นทาส มาจนทุกวันนี้ เพราะ "นายทาส" ที่เห็นๆล้วนแต่มีบุคคลิกลักษณะที่ "น่าชื่นชม" แบบสุรยุทธ์ ทั้งนั้น...
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าภาพที่สร้างไว้จะสวยหรูแค่ไหน "วีรกรรม วีรเวร" ที่ท่านสร้างมากำลังถูกเปิดเผยขึ้นเพราะความไม่รู้จักพอของตัวท่านเอง...
=====================
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ (28 สิงหาคม พ.ศ. 2486) ปัจจุบันเป็นองคมนตรีและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549-29 มกราคม พ.ศ. 2551)จากการแต่งตั้งโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และองคมนตรีในปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 นายอารีย์ วงศ์อารยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลาออกจากตำแหน่ง พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เข้าดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวมหาดไทยแทนนายอารีย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย 8 เมษายน พ.ศ. 2551 พล.อ.สุรยุทธ์ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้กลับดำรงตำแหน่ง องคมนตรี เหมือนเดิม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีฉายาว่า "บิ๊กแอ้ด"


ประวัติทั่วไป
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เกิดที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรของพันโทพโยม จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาวิเศษสิงหนาถ (ยิ่ง จุลานนท์) ต้นตระกูลจุลานนท์) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสูงระดับแกนนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นที่รู้จักกันในนาม "สหายคำตัน" กับนางอัมโภช จุลานนท์ (บุตร พันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม หรือ "ดิ่น ท่าราบ")ชีวิตครอบครัวพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ สมรสกับพันเอกหญิง ท่านผู้หญิงจิตรวดี จุลานนท์ (สันทัดเวช) มีบุตรชาย 3 คน คือ ร้อยเอกนนท์ จุลานนท์, นายสันต์ จุลานนท์ (ข้าว) และนายจุล จุลานนท์ (น้ำ)พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้นิยมการเดินป่าชมธรรมชาติ เป็นประธาน "มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" และเป็นที่ปรึกษาของเยาวชนกลุ่ม "รักษ์เขาใหญ่" ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ในชื่อ"ลุงแอ้ด"พล.อ.สุรยุทธ์ นั้นมีชื่อเล่นว่า “แอ่ด” คือมาจากชื่อของรถรบสมัยนั้น ที่ทหารม้าหรือทหารรถรบ (ม้าเหล็ก) ตั้งฉายาว่า “รุ่นไอ้แอ่ด” คุณพ่อของ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเอาชื่อเล่นของรถถังรุ่นไอ้แอ่ด มาเป็นชื่อเล่นของลูกชาย ดังนั้น ที่เรียกกันว่า “แอ๊ด” หรือ “บิ๊กแอ๊ด” นั้น จึงเป็นการเรียกผิดและ เขียนผิด เปลี่ยนชื่อกันไปเองโดยความเข้าใจผิด เพราะชื่อเล่นที่แท้นั้นคือ “แอ่ด” คือออกเสียงเป็น ไม้เอก ไม่ใช่ไม้ตรี

ไม่จบ

ยักแย่ยักยันไม่สะเด็ดน้ำซะทีกับเรื่องวุ่นๆในแวดวงสีกากี นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าก็เลยอลเวงไปทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล่าสุดก็ประเด็นที่ ก.ตร.มีมติให้ทำหนังสือถึงนายกฯเพื่อให้นายตำรวจ 3 นายที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงกลับเข้ารับราชการ

หักดิบกันอีกกระทอกระหว่าง นายกฯอภิสิทธิ์กับรองนายกฯสุเทพ  เทือกสุบรรณ  และระหว่าง ป.ป.ช.กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผลพวงจากการไม่มีมาตรฐานของบ้านเมืองก็เป็นเช่นนี้เอง

วันก่อน คุณสุชาติ สักการโกศล ผอ.ฝ่ายอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ  ธนาคารแห่งประเทศไทย  ระบุถึงปัญหามาบตาพุด  โดยเฉพาะการแสดงจุดยืนของ  สมาคมการค้าการลงทุนของญี่ปุ่น  ที่จะถอนการลงทุนจากประเทศไทยเนื่องจากเห็นว่าเมืองไทยไม่ เหมาะสมกับการลงทุนอีกต่อไป

เป็นเรื่องที่น่าวิตก

ความรู้สึกของนักลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พูดตรงๆก็คือ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล  สำหรับนักลงทุนหดหายไปเยอะ  ถ้ารัฐบาลพูดอย่างทำอย่าง ความเชื่อมั่นจะสิ้นสุดลงโดยปริยาย

คุณสุชาติย้ำว่า  จะต้องแก้ปัญหามาบตาพุด  ให้สะเด็ดน้ำภายใน 8-9 เดือน ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์ของประเทศจะเสียหายอย่างหนักและจะฟื้นฟูยากมาก

ความเห็นของ  คุณดุสิต  นันทะนาคร  ประธานหอการค้าที่เอา ใจช่วยรัฐบาลอย่างเต็มเหนี่ยวมาตลอด ยังอดไม่ได้ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน มีมติจะทำหนังสือถึงนายกฯอภิสิทธิ์เพื่อขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาปัญหามาบตาพุด ให้ได้ข้อยุติภายใน 4-5 เดือน

ไม่เช่นนั้นจะทำให้การลงทุนในระยะยาวมีปัญหา

การออกมายอมรับของ คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรม ถึงปรากฏการณ์ที่นักลงทุนญี่ปุ่นออกมาแสดงจุดยืนดังกล่าวนั้น ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน

เพราะญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมบ้านเรามานาน และมีจำนวนการลงทุนที่สูงมาก  ไม่จำเป็นจริงๆก็คงไม่คิดที่จะย้ายฐานการผลิตเด็ดขาด

นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเป็นเวลา  1 ปี  ได้สร้างปัญหาเป็นดินพอกหางหมู  เอาไว้บานตะไท แต่ละปัญหาเป็นเรื่องที่กระทบถึงมาตรฐานและความเชื่อมั่นทั้งนั้น

ซึ่งจะมีผลต่ออนาคต   การเมืองการปกครอง   และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม  น่าจะร้ายแรงกว่าการคอรัปชันด้วยซ้ำ

การสร้างมาตรฐานใหม่ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่  เอาการเมืองนำบ้านเมือง  นอกจากไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาวิกฤติประเทศแล้ว  ยังเพิ่มปัญหาวิกฤติลุกลามบานปลาย  ไม่จบ  ซักเรื่อง.


โดย หมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 14 มกราคม 2553

ข้อแก้ตัว

ในที่สุด  มานิต นพอมรบดี  รมช.สาธารณสุข  ก็ต้องยอมไขก็อก ไปตามระเบียบ  จะเป็นเพราะต้องการที่จะรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น หรือเป็นเพราะถูกกดดันอะไรบางอย่างจากพรรคแกนนำรัฐบาล หรือมีข้อมูลบางอย่างทำให้คุณมานิตต้องจำใจลาออก  ก็ว่ากันไป

โดยเฉพาะการยื่นเงื่อนไขของ  นายกฯอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ถึงแกนนำพรรคภูมิใจไทย  กรณีถ้าคุณมานิตไม่ตัดสินใจลาออกใน วันสองวันนี้  จะใช้อำนาจนายกฯในการปรับคุณมานิตออกจากตำแหน่งและอาจจะถึงขั้นเอาคนของพรรคประชาธิปัตย์มาเสียบแทน

ถ้าลงเอยที่หมากเกมนี้ เห็นทีภูมิใจไทยจะเสียเปรียบเต็ม ประตู เสียทั้งตำแหน่ง เสียทั้งหน้า จึงต้องถอยไปตั้งหลักชั่วคราว ยึดตำราที่ว่า วันพระไม่มีหนเดียว ทีใครทีมัน

ความจริงแล้วสาระสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่การลาออกของ คุณวิทยา แก้วภราดัย หรือ คุณมานิต นพอมรบดี ไม่ใช่ เพราะบุคคลทั้งสองลาออกไปแล้ว ประเด็นการส่อทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขจะโปร่งใส หรือพ้นมลทิน

การทุจริตก็ยังไม่มีการแก้ไขแต่อย่างใด

เพราะผลสอบของคณะกรรมการชุด นพ.บรรลุ ศิริพานิช ระบุตัวบุคคลที่เข้าข่ายความผิดไว้ชัดเจน อีก 7-8 คน ที่เหลือจะพลอย พ้นผิดไปด้วยเช่นนั้นหรือ นายกฯไม่ใช่ผงซักฟอก รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่น้ำยาซักผ้าขาว ที่ผ่านมาสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ฉาวโฉ่กับเรื่องของทุจริตยาในกระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว

ผู้ถูกกล่าวหาที่ยังเหลือจะทำอย่างไรต่อไป เนื่องจากส่วนใหญ่ ก็เป็น คนของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนั้น อย่าให้มองว่าเป็นการลูบหน้าปะจมูก

ที่นายกฯสมควรกระทำคือ เอาจริงเอาจังกับการทุจริตในโครงการนี้ มากกว่าจะมาโยงเข้าเป็นเรื่องการเมืองเสียหมด หรือเพื่อกลบกระแสทุจริตชั่วครั้งชั่วคราว

เช่นเดียวกับเรื่องของ หวยออนไลน์ ฟังนายกฯชี้แจงวันก่อนแล้วไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต้องการจะ ล้มหวยบนดิน นักหนา นายกฯอ้างว่าเป็นเจตนารมณ์ตั้งแต่ยังเป็นฝ่ายค้านที่จะไม่เพิ่มช่องทางการพนัน ทั้งไม่สามารถจะลดจำนวนหวยใต้ดินลงได้ และจะทำให้เด็กและเยาวชนเล่นการพนันมากขึ้น

นายกฯพูดแต่เรื่องหวยบนดินซะยืดยาว แต่พูดถึงหวยใต้ดินประโยคเดียว ทั้งๆที่ต้นตอของปัญหาการพนันที่น่ากลัวกว่าหวยออนไลน์ก็คือหวยใต้ดินนี่แหละ

ที่บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายทุกวันนี้ก็เพราะเงินหวยใต้ดิน

เงินหวยบนดินที่เอามาใช้ประโยชน์เพื่อสังคมไม่รู้หายไปไหนหมด เข้าตำราเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง แล้วการพนันที่มอมเมาเด็กและเยาวชนขณะนี้ก็ไม่ใช่หวยบนดิน แต่เป็นโต๊ะพนันบอลมากกว่า รัฐบาลกล้าไปแตะบ้างไหม ปล่อยให้ลอยนวล ยุ่งอยู่แต่ของถูกขั้นตอนตามกฎหมาย แปลกแฮะ.


โดย หมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 12 มกราคม 2553, 05:00 น

หล่อหลักลอย


ยุทธการเขายายเที่ยง

ยุทธการเขายายเที่ยง (Operation failed) บทเพลงจาก nakaramusic


ฟางเส้นสุดท้าย

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับ  ประเทศซาอุดีอาระเบีย  ไม่ค่อยจะราบรื่นมาช้านาน  เริ่มจากคดีเพชรซาอุฯ  ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี  2532  โยงถึงการพัวพันอุ้มฆ่าบุคคลสำคัญของซาอุฯและคนไทย  ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องดังกล่าว จะถือว่าเป็นมหากาพย์ก็ว่าได้

นับเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วที่ คดีดังกล่าวเป็นหนามตำใจของทั้งสองประเทศ  บางช่วงบางตอนความสัมพันธ์ ของทั้งสองประเทศแทบจะสะดุดหยุดลงในทันทีทันใด

นอกจากเพชร บลูไดมอนด์ ของ เจ้าฟ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ที่อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ประกอบกับเหตุการณ์ หายตัวไปของ มูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ  ที่ทราบกันดีว่าเป็นพระญาติของเจ้าฟ้าชายไฟซาลด้วย เลยลุกลามไปใหญ่

เหตุเกิดในปี 2533 หลังคดีเพชรซาอุฯอันลือลั่น จนถึงบัดนี้ยังมืดมน  ซึ่งคาดกันว่าอัลรูไวรี่คงต้องถูกอุ้มฆ่าอย่างแน่นอนและต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของคดีเพชรซาอุฯไม่มากก็น้อย

งานนี้คนมีสีถูกเพ่งเล็งมากที่สุด

จนกระทั่งในปีที่ผ่านมา  พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง  อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ได้นำเรื่องดังกล่าวมาปัดฝุ่นอีกครั้ง  ก่อน ที่คดีจะหมดอายุความ  มีการออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่คนสำคัญ หลายคนที่เชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว  พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 พ.ต.อ.สรรักษ์ จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย พ.ต.อ. ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น  รวมทั้งตำรวจนอกราชการมารับทราบข้อกล่าวหา

เป็นที่น่าประหลาดใจว่า  ทำไมทางการไทยถึงได้เร่งที่จะดำเนิน การเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลากระชั้นชิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  ทั้งๆที่ผู้ถูกกล่าวหาบางคนก็ถือว่ามีเส้นมีสายพอสมควรโดยเฉพาะในยุคนี้

เหตุผลที่แท้จริงอาจจะเกิด  แรงกดดันจากรัฐบาลซาอุฯ  ที่พยายามกดดันรัฐบาลไทยในคดีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

จนถึงขนาดอาจตัดสัมพันธ์ทางการทูตด้วยซ้ำ

วันนี้  อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยจะเดินทาง เข้าพบ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อรับฟังคำตอบและก็ คงจะมีคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียด้วยเช่นกัน

ปัญหานี้เดิมพันด้วย  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์อาจจะต้องแลกด้วย  ความสัมพันธ์ใน ประเทศ  คงไม่ต้องอธิบายถึงสถานะของผู้ถูกกล่าวหาบางคน ที่มีความสำคัญต่อเหตุการณ์ในบ้านเมืองที่ผ่านมาและผูกพัน อยู่กับฝ่ายที่โค่นล้มรัฐบาลชุดที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียจึงถูกลากเข้ามาเดิมพันโดยปริยาย

ห้ามกะพริบตา.

หมัดเหล็ก คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
ไทยรัฐออนไลน์ 11 มกราคม 2553, 05:00 น.

ไทยส่อแพ้ญวณ ส่งออกเสื้อผ้า ไปขายสหรัฐฯ


อัครราชทูตพาณิชย์ที่วอชิงตันเผยสหรัฐฯ ลุยเจรจาทำหุ้นส่วนเศรษฐกิจทีพีพี ชี้ถ้าสำเร็จไทยจะเสียเปรียบเวียดนามในการส่งเสื้อผ้าเข้าสหรัฐฯ...

วันที่ 10 ม.ค. นางเกษสิริ ศิริภากรณ์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นเจรจาทำหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับกลุ่มข้ามแปซิฟิก (ทีพีพี) (Trans-Pacific Partnership Agreement) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เวียดนาม สิงคโปร์และบรูไน ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบประเทศเหล่านี้มาก โดยเฉพาะเวียดนาม

“ถ้าการเจรจาจบเมื่อไร สหรัฐฯไม่จำเป็นต้องทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทยอีกแล้ว เพราะสหรัฐฯ ได้คู่ค้าของเราไปหมด ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลีในละตินอเมริกา และอาเซียน ซึ่งไทยจะเสียเปรียบประเทศเหล่านั้น โดยเฉพาะเวียดนาม คู่แข่งสำคัญ”

ด้านนายสุกิจ คงปิยาจารย์ อุปนายกสมาคมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า สหรัฐฯ ทำเอฟทีเอกับทีพีพี เพื่อสร้างความสมดุลอำนาจทางการค้ากับจีน ที่ทำเอฟทีเอกับอาเซียนแล้ว ซึ่งหากเจรจาสำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบเวียดนามมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เพราะเวียดนามจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงมาก เช่น ภาษีนำเข้าฝ้าย 20% ใยสังเคราะห์ 30% นอกจากนี้ นักลงทุนจะย้ายฐานการผลิต หรือมุ่งไปสร้างฐานการผลิตที่เวียดนามแทน ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่แข่งขันกับเวียดนามไม่ได้จะล้มตายในที่สุด

สำหรับ เอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ หยุดการเจรจามาตั้งแต่ปี 2549 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ไทยก็ต้องนำข้อตกลงเข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งทำให้การเจรจาล่าช้า ประกอบกับ สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ แต่จนถึงขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีท่าทีชัดเจนเดินหน้าการเจรจา

http://www.thairath.co.th/content/eco/57948

ไม่เป็นไรหรอกเนอะ ประเทศเราไม่ต้องง้อใคร ประเทศเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ยังไงซะก็ไม่อดตาย :)

คำขวัญวันเด็ก



ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ขยันกู้ อุ้มชูไส้ติ่ง เก่งจริงปาฐกถา

ย้อนอดีตบ้านพักเขายายเที่ยง

โคราช 7 ม.ค.-บ้านพักตากอากาศของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ที่เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ตกเป็นเป้าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งก่อนอำลาตำแหน่งนายกฯ พล.อ.สุรยุทธ์ เคยนำผู้สื่อข่าวไปเยี่ยมชมบ้านพักหลังนี้มาแล้ว.-สำนักข่าวไทย


newskythailand Gallery

Twitter Updates (thaksinlive)

Red Twitter ทวิตเตอร์เสื้อแดง

จำนวนผู้เยี่ยมชม