ไลบีเรีย: อดีตนายกรัฐมนตรีหารือธุรกิจกับบอคาย



มอนโรเวีย – อดีตนายกรัฐมนตรีนำคณะผู้แทนการลงทุน ๘ คนเดินทางออกจากไลบีเรีย หลังจากได้ใช้เวลา ๒ วัน เจรจาการค้ากับรองประธานาธิบดี โจเซฟ นิวมา บอคาย และเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่อยู่ในประเทศ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคณะ (จากแบล็คเพิร์ลแคปปิตอล) ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจชั้นนำระหว่างประเทศ ได้ปรึกษาหารือถึงลู่ทางที่จะทำการลงทุนในด้านเกษตรกรรม การสำรวจและการขุดเจาะน้ำมัน การสำรวจแร่มีค่า ใบประกอบการธุรกิจโทรศัพท์มือถือ โทรคมนาคมและล็อตเตอรี่ บริษัทแบล็คเพิร์ลซึ่งมีฐานอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความสามารถในการให้การบริการแก่บริษัทและประเทศต่างๆ รวมไปถึงตลาดที่เกิดใหม่ส่วนใหญ่ของยุโรป ในเอเซีย และอาฟริกาใต้ อาฟริกาตะวันออก และอาฟริกาเหนือ

คุณทักษิณได้กล่าวว่าทางบริษัทได้วางแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มจากอาฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นตลาดใหม่ เขากล่าวว่าไลบีเรียเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในหมายกำหนดการ ดังนั้นการมาในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสวงหาแหล่งลงทุน

ทักษิณ มหาเศรษฐีจากประเทศไทย กล่าวมาจากที่ทำงานของรองประธานาธิบดีบอคายว่า แม้ว่าเขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับบรรยากาศของการลงทุนในประเทศไลบีเรียมากนัก การมาเยือนในครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลเบื้องต้น และความคิดที่ว่า ควรจะทำการลงทุนด้านไหน

เขากล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญของเขาจะตรวจสอบทั้งบรรยากาศและโอกาสในการลงทุน เหมือนกับการเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนที่คุ้นเคย

รองประธานาธิบดีบอคายได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนสู่ประเทศไลบีเรียในนามของประธานาธิบดีเซอร์ลีฟ และได้ให้ข้อสังเกตว่า การมาเยือนครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไลบีเรียในขณะนี้อยู่ในระหว่างมองหาผู้ที่จะมาลงทุนในประเทศของเขา

บอคายกล่าวกับคณะผู้แทนว่า “พร้อมหรือยังที่จะลงทุนกับเราที่ไหนก็ได้” พร้อมกับยกตัวอย่างถึงป่าไม้ซึ่งมีเนื้อที่มหาศาล และแหล่งทรัพยากรอื่นๆของประเทศไลบีเรีย

ดร.ทักษิณ กล่าวว่า เงินจำนวนล้านๆเหรียญจะถูกนำไปลงทุนในด้านที่พวกเรามีความเชี่ยวชาญ นั่นคือ ด้านเกษตรกรรม ด้านเหมืองแร่ หรือด้านโทรคมนาคม

รองประธานาธิบดีบอคายกล่าวว่า “การลงทุนในด้านใดด้านหนึ่งนี้ เรามองหานักลงทุนที่ดี และโอกาสในการลงทุนซึ่งจะเสริมความสามารถให้กับคนรุ่นใหม่และประชาชนของเรา ในช่วงที่ประเทศกำลังอยู่ในระยะที่กำลังพัฒนา”

จากนั้น รองประธานาธิบดีได้มอบสำเนา ยุทธศาสตร์ลดความยากจนแห่งไลบีเรีย (พีอาร์เอส) ให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการแจ้งให้ทักษิณทราบถึงความสำคัญของการพัฒนาและการลงทุนของประเทศ

พีอาร์เอสแห่งไลบีเรีย หรือที่เคยถูกเรียกว่า “ปลดปล่อยไลบีเรีย” เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทั่วไป และยุทธศาสตร์หลักๆที่สำคัญของรัฐบาล ในการจะนำประเทศให้เดินรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ให้ประเทศมีการเติบโตและพัฒนาไปอย่างกว้างขวางและถาวร ในช่วงปี ๒๕๕๑-๒๕๕๔

พีอาร์เอส ได้ถูกประกาศใช้ในระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๑ ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ (ปีงบประมาณของปลายปี๒๕๕๔/๒๕๕๕) เอกสารพีอาร์เอสได้ระบุว่าระยะนี้เป็นระยะสำคัญ เนื่องจากไลบีเรียจะเปลี่ยนจากความมีเสถียรภาพหลังความขัดแย้ง ไปสู่การวางรากฐานในการเสริมสร้างความเติบโตและการพัฒนาอย่างกว้างขวาง ลดความยากจน และรุดหน้าไปเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (เอ็มดีจี)

โครงการ ๕๖,๐๐๐ ล้านบาทซึ่งขี้นอยู่กับเงินบริจาค ถูกออกแบบโดยยึดหลักสำคัญ ๔ ข้อ รวมถึงส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงแห่งชาติ รัฐบาลที่ดีและมีระเบียบแห่งกฎหมาย การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้กลับมาดีดังเดิม และให้บริการสังคมขั้นพื้นฐาน

22 พฤษภาคม 2009 — chapter 11
Liberia: Former Thai Prime Minister Seeks Investment Opportunities In 
Country Holds Talks With Boakai
๒๔ เมษายน ๒๕๕๒
ที่มา – All Africa.com
แปลและเรียบเรียง – chapter 11

เพิ่มเติม
ไลบีเรีย เป็นประเทศที่อยู่ในเขตแอฟริกาตะวันตก ติดกับประเทศเซียร์ราลีโอนทางด้านทิศตะวันตก ประเทศกินีทางด้านทิศเหนือ และประเทศโกตดิวัวร์ทางด้านทิศตะวันออก มีเมืองหลวงชื่อมอนโลเวียปกครองโดยใช้ระบอบประชาธิปไตย

อริสมันต์ทัวร์คอนเสิร์ต รักในโฟนอิน รับสมัครแนวร่วมแดง


เปิดตัวอัลบั้มเพลง หารายได้ เรียกร้องประชาธิปไตย-เยียวยาผู้ชุมนุมเฟสแรก 4 จังหวัด คือ  22 พ.ค.  ที่จังหวัดขอนแก่น    23 พ.ค. ที่อุดรธานี  24 พ.ค. ที่จังหวัดร้อยเอ็ด และ 25 พ.ค. ที่จังหวัดมหาสารคาม   ที่ห้างสรรพสินค้า อิมพีเรียล ลาดพร้าว วันนี้ (17 พ.ค.) แกนนำคนเสื้อแดง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง  พร้อมด้วยนายสุพร อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ แถลงเปิดตัวอัลบั้มเพลง "รักในโฟนอิน" โดยนายอริสมันต์ กล่าวว่า การต่อสู้ทางการเมืองจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม จึงเป็นที่มาของการทำอัลบั้มเพลงมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้สนับสนุนการ เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย  การเยียวยาผู้ชุมนุมที่ได้รับผลกระทบจากการผลักดันการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อ แดงเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2552 รวมถึงเป็นการวางรากฐานการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และการแสดงเจตนารมณ์ในการได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย   นาย อริสมันต์ กล่าวต่อว่า จากการตกลงกับบริษัทเพลงเจ้าของลิขสิทธิ์ได้มอบลิขสิทธิ์เพลงและรายได้ที่ เกิดจากการขายซีดีเพลงในช่วง 1 ปีแรกให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อใช้เป็นทุนในการเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนกิจกรรมที่จะทำร่วมกับการออกอัลบั้มคือการออกทัวร์คอนเสิร์ตแดงทั่ว แผ่นดิน ร่วมกับแกนนำคนเสื้อแดง อาทิ นายวีระ  มุสิกพงศ์  นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายสุพร  อัตถาวงศ์ ในการออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศโดยเริ่มในเฟสแรก 4 จังหวัด คือ วันที่ 22 พ.ค.  ที่ ขอนแก่น   วันที่ 23 พ.ค. ที่ อุดรธานี วันที่ 24 พ.ค. ที่ ร้อยเอ็ด และวันที่ 25 พ.ค. ที่ มหาสารคาม   "การ แสดงคอนเสิร์ตจะเป็นการปราศรัยรณรงค์ ขายซีดีเพลง และแจกซีดีบันทึกเหตุการณ์ผลักดันการชุมนุม 13 เมษายน ร่วมไปกับชี้แจงความจริงที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงรวมถึงการ ประกาศรับสมัครสมาชิกพลังประชาธิปไตยแดงทั้งแผ่นดิน เพื่อรวบรวมคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศในการแสดงพลังให้รัฐบาลเห็น โดยแกนนำจะเดินทางไปทั่วประเทศไม่เว้นแม้แต่ภาคใต้" นายอริสมันต์ กล่าว   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อัลบั้มเพลง " รักในโฟนอิน " ประกอบด้วยเพลงไทยสากล และเพลงลูกทุ่งตามสไตล์อริสมันต์ จำนวน 12 เพลง

งาบภาษีน้ำมัน



“ซิกแซ็ก”

คอลัมน์ เหล็กใน

การตัดสินใจปรับเพดานภาษีน้ำมันจาก 5 บาท/ลิตร เป็น 10 บาท/ลิตร หรือเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดสลบของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แม้รัฐบาลพยายามจะชี้แจงว่าเบื้องต้นจะปรับขึ้นเพียง 2 บาท และไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีก เพราะจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้ามารับภาระส่วนนี้

ฟังเผินๆ อาจจะดูดี แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งเป็นการยักย้ายถ่ายเทเงินกองทุนน้ำมันมาเข้ากระเป๋ารัฐบาลนั่นเอง

เนื่องจากเงินกองทุนน้ำมันมีระเบียบป้องกันอย่างรัดกุม ไม่ใช่จะนำมาใช้จ่ายแบบมั่วซั่วได้ แต่เพราะปัจจุบันมีวงเงินอยู่กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้รัฐบาลจ้องตาเป็นมัน

แต่เมื่อติดขัดระเบียบ จึงใช้มาตรการภาษีดึงเงินจากกองทุนน้ำมันออกมาใช้อย่างแยบยล

ทั้งๆ ที่เจตนารมณ์ของกองทุนน้ำมันตั้งขึ้นมาเพื่อพยุงราคามิให้ชาวบ้านรับภาระมากเกินไป ในยามที่น้ำมันราคาพุ่งขึ้นสูง

แต่รัฐบาลนี้กลับซิกแซ็กดึงเงินจำนวนนี้ออกมาใช้ โดยไม่คำนึงถึงในอนาคตอันใกล้ว่าหากราคาน้ำมันที่กำลังปรับขึ้นทุกขณะ จากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างแล้ว พุ่งแพงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ขณะที่เงินกองทุนน้ำมันก็ถูกรัฐบาลดึงไปใช้จนเกลี้ยง จากการเรียกเก็บภาษีน้ำมันแบบนี้

ประชาชนต้องรับภาระค่าน้ำมันมากกว่าความจำเป็น

ทั้งที่เงินจากกองทุนน้ำมันก็เป็นเงินของประชาชนเอง รัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลือหรือนำเงินมาใส่ไว้แต่อย่างใด เพราะเป็นเงินที่เก็บจากประชาชนในยามที่น้ำมันราคาถูก

แต่ยามใดที่ประชาชนเดือดร้อน จะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเพื่อมาบรรเทาความลำบาก กลับถูกรัฐบาลแย่งใช้เงินจำนวนนี้ไปเสียแล้ว

หากคนไทยต้องใช้น้ำมันที่แพงเพราะตลาดโลก แม้จะลำบากแต่ก็ไม่ปริปากบ่นเนื่องจากเป็นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม

แต่ถ้าคนไทยต้องใช้น้ำมันแพงเพราะรัฐบาลมาขูดโขกภาษี และนำเอาเงินที่จะช่วยพยุงราคาเอาไว้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจ

และคงทำใจยากยิ่งขึ้นหากมองลึกลงไปว่า นี่คือรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่แรก!!!

( ที่มา ข่าวสดรายวัน , 12 พฤษภาคม 2552) 

นำมาให้อ่านกันลืม


เครดิตรัฐบาลพุ่งลิ่ว
ลม เปลี่ยนทิศ หมายเหตุประเทศไทย 16 พ.ค.2546

IMD (สถาบันเพื่อการพัฒนาการจัดการระหว่างประเทศ) จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของโลกประจำปี 2003
ปรากฎว่าอันดับประเทศไทยพุ่งพรวดขึ้นมา 3 อันดับ ขึ้นมาอยู่แถวหน้า อยู่ในท็อปเท็น อันดับที่ 10 แซงหน้าญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้

ขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทสต่างๆ ทั่วโลกของไทย ที่เพิ่มพรวด ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรือโชคดี แต่เป็นเพราะประสิทธิภาพในการบริหารของรัฐบาลทักษิณ ที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เพราะหัวข้อที่ใช้เป็นเครื่องวัด ประกอบด้วย 4 หัวข้อ
1. ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
2. ประสิทธิภาพของรัฐบาล
3. ประสิทธิภาพของธุรกิจ
4. โครงสร้างพื้นฐาน

ปีที่แล้วไทยอยู่อันดับที่ 34 จาก 49 ประเทศในลิสต์ แต่ปีนี้ IMD เปลี่ยนวิธีการจัดอันดับใหม่ แบ่งประเทศออกเป็น 2 กลุ่ม
คือกลุ่มที่มีประชากร 20 ล้านคนขึ้นไป กับกลุ่มที่มีประชากรต่ำกว่า สิงคโปร์กับฮ่องกงจึงอยู่คนละกลุ่มกับประเทศไทย

เมื่อแยกกลุ่ม ทำให้ไทยจากอันดับที่ 13 กระโดดขึ้นมา 3 อันดับ แซงหน้าเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน โดยอันดับแต่ละข้อมีดังนี้
1. ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ จากอันดับ 9 มาอยู่อันดับ 7 เท่ากับปี 2001
2. ประสิทธิภาพของรัฐบาล จากอันดับ 7 มาอยู่อันดับ 5 ดีที่สุดในรอบ 5 ปี โดยปี 2001 ไทยอยู่อันดับ 10 แย่ที่สุดในรอบ 5 ปี
3. ประสิทธิภาพของธุรกิจ จากอันดับ 14 มาอยู่อันดับ 9 ส่วนปี 2001 ไทยอยู่อันดับ 20
4. โครงสร้างพื้นฐาน จากอันดับที่ 17 มาอยู่อันดับที่ 16 แต่ปี 2001 ไทยอยู่อันดับ 24

เมื่อดูภาพรวม ช่วงที่ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศใน 2 ปีนี้ อันดับการแข่งขันของไทยดีขึ้นทุกด้าน ที่ดีขึ้นมากที่สุดก็คือ
ประสิทธิภาพรัฐบาล ซึ่งอันดับสูงกว่าช่วงรัฐบาลชวนและพรรค ปชป. ถึง 1 เท่าตัว

คะแนนเฉลี่ยประเทศไทยไม่เลวนัก ได้ถึง 58.4 % เกินครึ่ง ในขณะที่ สหรัฐฯ ยังเป็นอันดับ 1 ได้คะแนนเต็ม 100 % ตามมาด้วย
ออสเตรเลีย, แคนาดา, มาเลเซีย, เยอรมัน, ไต้หวัน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน และไทย

ในความเป็นจริง ศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยมีสูงมาก แต่ที่ผ่านมา เราขาดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ขาดผู้นำที่มีความรู้
ขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และขาดผู้นำที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ เศรษฐกิจที่อุดมสมบูรณ์ของไทยเลยเคลื่อนไปแบบข้าราชการคือเช้าชามเย็นชาม

รัฐบาลในอดีตที่ผ่านมาทุกรัฐบาล เราภูมิใจกับค่าแรงจ้างแรงงานขั้นต่ำของเราว่าถูกกว่าชาติอื่น ถือเป็นจุดแข็งทางการแข่งขันที่จะดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เบาปัญญาอย่างยิ่ง

สิ่งที่ผมอยากจะเห็นนายกฯทักษิณ ทำต่อไปในอนาคตก็คือ การเพิ่มประสิทะธิ์ภาพของเศรษฐกิจ และการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจให้มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าประสิทธิภาพรัฐบาล ไทยจะมีโอกาสอยู่ในท็อปไฟว์ของโลกแน่นอน 

การ Boycott หรือคว่ำบาตรบัวหลวง (ธ.กรุงเทพฯ)



ยุทธศาสตร์การปิดบัญชีบัวหลวง หรือการ Boycott กิจการที่สนับสนุนอำมาตยาธิปไตย หรือเป็นแหล่งทุนให้พวก

อำมาตย์นั้น ถือว่าเป็น "ยุทธวิธีชนะสงครามได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อเลยทีเดียว เป็นอำนาจของประชาชนที่ ต่อให้ใคร

มีอำนาจมากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ ต่อให้มีปืน รถถังหรือระเบิดนิวเคลียร์ ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจของ "ผู้

บริโภค" ได้ หากคนเสื้อแดงทำอย่างจริงจัง แบงค์บัวหลวงจะล้มภายในเวลาไม่ถึงเดือน และจะ "สะเทือน" อำนาจ

ของอำมาตย์อย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว

เด็ดดอกไม้ แต่สะเทือนดวงดาวแน่นอน

แต่ผมไม่อยากให้ยุทธศาสตร์อันนี้ เป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เช่น ไป Boycott สินค้าอื่นๆ หรือธนาคารอื่นๆ แม้ว่าบริษัท

เหล่านั้นจะสนับสนุนอำมาตย์ก็ตาม เพระการเลือกเป้าหมาย "จำนวนมาก" เกินไปนั้น จะไม่เกิดพลังเพียงพอ และไม่

สะเทือนไปถึงพวกเขาอย่างแน่นอน กลายเป็นว่า สินค้าบางชนิดยอดขาดอาจลดลงเล็กน้อย แต่ไม่สะเทือนถึง

อาณาจักรของพวกเขา และไม่เกิดผลแต่อย่างใด

แต่หากเราเลือกเป้าหมายเดียวเช่น แบงค์ที่ว่า ให้ต่างจังหวัดเริ่มก่อน เช่น เชียงใหม่ ที่ดำเนินการไปแล้ว และอุดรธานี

ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของเสื้อแดง ควรจะเริ่มดำเนินการต่อไปทันที หากสองจังหวัดนี้ ปิดบัญชีบัวหลวง จนกิจการ

สะเทือนอย่างรุนแรงได้ ก็จะเกิดปฎิกริยาลูกโซ่ตามมาทันที จังหวัดอื่นๆ อาจทำตาม และสุดท้าย กทม. ที่มีคนเสื้อ

แดงอยู่ไม่ต่ำกว่า 5-6 แสนคน หากคนจำนวนนี้แค่ 20% มีบัญชีบัวหลวงอยู่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบัญชี และนัดไปปิดพร้อม

กัน หรือไล่เรี่ยกัน ผลที่ตามมาก็จะยิ่งใหญ่ทันที

ถึงอย่างไร รัฐบาลก็ไม่มีทางยอมให้ธนาคารล้มลงไปได้ ก็ต้องหาทางช่วยเหลือ สุดท้ายก็ต้องมีการเจรจาคืนอำนาจ

ให้ประชาชน เพราะหากยังเป็นเผด็จการอยู่ ประชาชนเรียนรู้ที่จะ "แซงค์ชัน" ทางเศรษฐกิจต่ออำมาตย์แล้ว พวกเขา

ย่อมไปไม่รอดอย่างแน่นอน
เราไม่จำเป็นต้องทำกับสินค้าอื่นนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะอ่อนข้อ แต่เพื่อไม่ทำให้ "พลังของการคว่ำบาตรหรือ Boycott" ลด

ลงไป และเป็นการสั่งสอน "เชือดไก่ให้ลิงดู" ด้วยว่า หากยังมีธุรกิจใด สนับสนุนอำมาตยาธิปไตยอยู่ ก็จะโดนไปราย

ต่อไป และในเวลานั้น ผมเชื่อว่า ไม่มีธุรกิจใดที่กล้าท้าทายอำนาจของประชาชนอีกแล้ว พวกเขาจะกระโดดหนีกัน

อย่างพร้อมเพรียงกันแน่นอน แต่ผมไม่ห้ามหากใครจะบอยคอตต์สินค้าเหล่านี้ด้วยตนเอง แช่น ไม่กินมาม่า แต่การ

รณรงค์ใหญ่ ต้องมุ่งโจมตีจุดเดียว และหนักแน่นอย่างเพียงพอ

ที่ต้องเลือกบัวหลวง เพราะมีความเหมาะสมหลายอย่าง เช่น แบงค์นี้สนับสนุน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ที่อยู่เบื้อง

หลังวันสงกรานต์เลือด และเป็น" หัวขบวนใหญ่ของอำมาตย์ และ คุณหญิงกัลยา ลูกสะใภ้ของตระกูลนี้ ก็ยังสนับสนุน

พวกเสื้อเหลือง เราจำต้องปิดบัญชี กับแหล่งทุนของคนเหล่านี้ ทันที

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ต้องระวังอย่างยิ่งคือ แบงค์นี้อาจ "ล็อบบี้แกนนำ" คนเสื้อแดง ให้หันเหไม่เอาจริงเอาจัง

เพราะผมเชื่อว่า หากมีผลกระทบจริงๆ พวกเขายินดีจ่าย ไม่ว่า 100 ล้านหรือ พันล้านอย่างแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้น

พวกเขาจะล้มกันทั้งแบงค์

มวลชนเสื้อแดงต้องหนักแน่นและจริงจังกับเป้าหมายนี้

มีตัวอย่างให้เห็น คือ พวกเสื้อเหลือง พธม. เคยคว่ำบาตร หนังสือพิมพ์มติชน จนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ต้องยอมก้มหัว

ให้กับพันธมิตร

ทำไมเราไม่ทำอย่างนั้นบ้าง เรามีพลังคนมากกว่า มีมวลชนมากกว่า ย่อมมีพลังกว่า

การนัดชุมนุมประท้วงแบบที่นัดๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ผมว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อรัฐบาลมากมายนัก เพียงแต่ช่วย

กระตุ้นให้พวกเรารู้สึกคึกคักกันเท่านั้นเอง คนที่วุ่นวายก็คือตำรวจ การนัดชุมนุม จึงควรเป็นเพียงการทำให้เห็นพลัง

ของเราเท่านั้น

แต่เราควร "ยิงหมัดตรงที่ปลายคาง" คือ "การบอยคอตต์หรือคว่ำบาตรบัวหลวง" ให้เห็นผลกับตา

ผมเชื่อว่า ไม่ถึง 3 เดือน อำมาตย์ล้มครืน เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดแน่นอน

ปล. 1 และ Art ตัวแม่ ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย กับอาวุธอันนี้ของพวกเรา

ปล. 2 ควรกำหนดวัน “ปิดบัญชีบัวหลวง” ในระดับชาติ ที่คนเสื้อแดงทั่วประเทศที่มีบัญชีบัวหลวงไปปิดพร้อมกัน หากทำได้ งานนี้ล้มช้างแน่นอน

เรื่องดีๆเก็บมาไว้ให้อ่าน
ที่มา:http://board.sae-dang.com/Topics.php?viewby=1

มาร์ค ทำได้แค่นี้เอง



ไม่มีสมอง หรือ ไม่มีปัญญา วันๆไม่คิดจะทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากทำลายตามล้างตามล่า ทักษิณ เสียดายเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศจริงๆ ที่พวกนักการเมืองเขี้ยวลากดินพวกนี้มาช่วยกันผลาญ การที่เปลี่ยนชื่อโครงการนั้น โครงการนี้ ที่รัฐบาลอื่นเขาทำมามันดีอยู่แล้ว และประชาชนได้ประโยชน์ เพื่ออะไรเห็นแล้วมันรู้สึกแหม่งๆนะ 555 ปชป คิดได้แค่เนี้ย ตัวอย่างนายกสมัคร "รถเมล์ฟรี เพื่อประชาชน" รัฐบาล ปชป เปลี่ยนมาเป็น"รถเมล์ฟรี จากภาษีประชาชน" ทุกคนรู้ว่าจากภาษีประชาชนกันทั้งนั้นแหละ รวมถึงเงินเดือน องคมนตรี เงินเดือน สส นักการเมือง หรือว่าจะเถียง ว่าไม่ใช่เงินจากภาษีประชาชน


ทักษิณ ชินวัตร " คือเพื่อน"

แผ่นดิน...ไม่เป็นธรรม บ้านเมืองไม่มีวันสงบ สลายไม่ได้...หมดหนทางแก้ไข ท่านผู้หญิงวิริยา ชวกุล ประธานกรรมการเลขาธิการ มูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ " ให้สัมภาษณ์ในสมัยรัฐบาล นายกสมชาย "


สัมภาษณ์พิเศษ : ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล



โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 6 พฤษภาคม 2552

แจงปมร้อน สนธิ-ทักษิณ และสองมาตรฐาน

เปรียบไปก็เหมือนเจอระเบิดหลายระลอก สำหรับ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ประธานกรรมการเลขาธิการมูลนิธิบำรุงขวัญทหาร ตำรวจ อาสาสมัครชายแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตั้งแต่ข้อกล่าวหาว่าด้วยวลีปริศนา "สุภาพสตรีคนนั้น" ในฐานะผู้ต้องสงสัยสั่งฆ่า สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามมาด้วยข้อหาที่ดูจะหนักยิ่งกว่า อย่างการทุจริตโครงการจัดทำเสื้อสีฟ้า ปักอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. ถึงขั้นถูกไล่ออกจากวัง แม้ว่าจะถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง แต่ ท่านผู้หญิงวิระยา ก็ยังคงยิ้มได้ ซ้ำยังมองโลกในแง่ดีว่า นี่อาจเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจให้ได้มีโอกาสชี้แจงปมค้างคาที่ถูกตั้งข้อครหามาเนิ่นนาน ท่านผู้หญิงวิระยา เปิดใจกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงเรื่องราวร้อนๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตห้วงนี้ และความสัมพันธ์แบบ "เพื่อนซี้" กับอดีตนายกฯ ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

* รู้สึกอย่างไรกับข้อกล่าวหาที่คุณสนธิพาดพิงค่อนข้างรุนแรง?
เขาปลดพี่จากท่านผู้หญิงแล้ว เรียกพี่ว่าคุณ คนอื่นอาจจะโกรธแค้นแทน แต่พี่ไม่โกรธ เพราะคุณสนธิไม่ได้ตั้งพี่ ในหลวงทรงแต่งตั้ง ถ้าในหลวงทรงปลดพี่จากท่านผู้หญิง พี่จะเสียใจ แต่นี่เป็นสนธิ พี่จึงไม่เดือดร้อน

* แต่คุณสนธิก็ยังพุ่งเป้ามา โดยเฉพาะเรื่องการลอบสังหาร...
เขาใช้คำว่าสตรีสูงศักดิ์ไม่ใช่หรือ คำคำนี้ไม่น่าจะหมายถึงพี่ เพราะว่าเขาไม่ให้พี่เป็นสตรีสูงศักดิ์ ก็เขาบอกว่าพี่ถูกไล่ออกจากวัง และที่บอกว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท ก็คงไม่ใช่พี่อีก เพราะพี่ก็ไม่ได้รับใช้มาตั้งแต่ปีที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระชนมายุ 72 พรรษา แล้ว

* ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตโครงการจัดทำเสื้อสีฟ้า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
โครงการนี้ไม่ใช่โครงการการกุศล เหมือนซื้อของมาขาย ได้เงินมาก็นำไปถวายเป็นการส่วนพระองค์ พี่ทำของพี่เอง แล้วมากล่าวหาว่าโกง มันเรื่องโจ๊กใส่ไข่ เป็นเรื่องตลก (เปิดสมุดบัญชีเงินฝากให้ดู) เงินรายได้จากการทำเสื้อ พี่เปิดบัญชีไว้ในนามมูลนิธิ (มูลนิธินพรัช-รัตนโกสินทร์) ใช้ชื่อ 3 คน เวลาถอนต้องเซ็น 2 คน ยอดเงินรวมแล้ว 480 ล้านบาท ได้ประสานไปทางท่านผู้หญิงบุษบา (ท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงษ์ พระขนิษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ) เพื่อจะเข้าเฝ้าฯถวาย แต่เมื่อยังไม่ได้เข้าเฝ้าฯ ก็เลยยังไม่ได้ถวาย

* คิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่คุณสนธิออกมากล่าวหา?
ถ้าถามพี่นะ พี่คิดว่าเป็นเรื่องที่พี่ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐ...เท่านั้นเอง เพราะพี่ไปการันตีว่าคุณทักษิณจงรักภักดี เขาคงไม่พอใจมาก เพราะการที่พี่พูดแบบนี้ คนเชื่อพี่เยอะ เนื่องจากพี่ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เขาก็เลยจะดิสเครดิตพี่ ถ้าเรื่องที่กล่าวหาพี่เป็นเรื่องจริง พี่เจ๊งพินาศไปนานแล้วแต่ที่พี่ถูกโจมตีจากคุณสนธิ พี่คิดว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ ทำให้พี่ได้พูดได้ชี้แจงในสิ่งที่ถูกกล่าวหามานาน และไม่มีโอกาสได้ชี้แจง ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ก็คงไม่มีโอกาสได้อธิบาย

* ส่วนตัวเชื่อว่าคุณทักษิณจงรักภักดี ไม่เป็นอย่างที่ใครๆ กล่าวหา...
จากคำพูดและการกระทำของคุณทักษิณ พี่ไม่เชื่อว่าเขาไม่จงรักภักดี ใครถามร้อยครั้งก็จะตอบอย่างนี้ พี่ดูจากพฤติกรรมของเขา เราไม่ใช่คนโง่ ถ้าทักษิณไม่จงรักภักดี จะไปเชื่อท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ (ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ) จนมาสั่งให้พี่หยุดขายเสื้อหรือ เวลาเจอกันในงานเลี้ยงหรืองานศพ ทักษิณก็จะวิ่งมาคุยกับพี่ บอกว่าไปเข้าเฝ้าฯ พระบาสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว มาได้ถวายรายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ สีหน้าที่เขาเล่ามีความสุข คนแบบนี้จะไม่จงรักภักดีได้อย่างไร ความจริงก็เป็นอย่างนี้ พี่ก็พูดไปตามความจริง คนอย่างพี่ต้องไปขอทักษิณกินหรือ มูลนิธิกี่มูลนิธิที่พี่ทำ ก็เป็นเงินพี่ทั้งนั้น ไม่ต้องขอเงินประชาชนสักบาทเดียว ส่วนคุณทักษิณ พี่เชื่อว่าเขาเป็นคนดี ขอเงินทำบุญทีไรก็ให้ทุกทีใครจะรักจะชอบใครเป็นสิทธิส่วนตัว ทำไมต้องมาบังคับ พี่ชอบทักษิณ เขาเป็นเพื่อนพี่ ยิ่งทุกวันนี้เขาถูกกลั่นแกล้ง ก็เลยยิ่งเข้าใจทักษิณมากๆ ทักษิณเหมือนพี่นะ เป็นคนไม่ยอมคน ก็เลยโดนแบบนี้

* คำแถลงของคุณสนธิ และคำให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ พยายามโยงเหตุลอบสังหารเป็นเรื่องการเมืองด้วย ท่านผู้หญิงมองการเมืองไทยตอนนี้อย่างไร?จริงๆ แล้วบ้านเมืองมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้เพราะม็อบเสื้อเหลือง สองมาตรฐาน ทำให้ประชาชนออกมาร่วมกับเสื้อแดงมาก ไม่ใช่ออกมาเพื่อทักษิณ เรื่องทักษิณเป็นแค่ผล
พลอยได้ บ้านเมืองเราถ้าความยุติธรรมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทุกอย่างถึงจะจบ

Tags : วิระยา ชวกุล

มารค์ M 16 เตรียมงัด กฎหมายฮิตเลอร์



“มติชน”รายงาน“มารค์ M 16” เตรียมงัด “กฎหมายฮิตเลอร์” เล่นงาน “คนเสื้อแดง” ! เผย"มาร์ค"ใช้กอ.รมน.สยบแดง :พล.ต.จิตตสักก์กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ก็ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ของคนในชาติ คือ การปลูกฝังความรัก ความสามัคคีของครอบครัวให้เชื่อมั่นในกองทัพ การทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยอาศัยกลไกของกองทัพที่ใกล้ชิดกับประชาชน ส่วนด้านต่างประเทศขอให้กองบัญชาการ
กองทัพไทยและเหล่าทัพแจ้งให้ผู้ช่วยทูตทหารทำความเข้าใจกับมิตรประเทศ และประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เตรียมใช้กลไกของ กอ.รมน. ในการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหว โดยเตรียมผลักดัน พ.ร.บ.ด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 มาใช้ในพื้นที่ที่มีการประเมินสถานการณ์ว่าจะภัยต่อความมั่นคง โดยจะเป็นลักษณะการป้องกัน และระงับยับยั้งไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

(ที่มา มติชนรายวัน , 1 พ.ค. 2552) 

สัมภาษณ์พิเศษ จตุพร พรหมพันธุ์ "เสื้อแดง"ยุติชุมนุมไม่ใช่แพ้


ที่มา เวบไซต์ ข่าวสด
4 พฤษภาคม 2552

การประกาศยุติการชุมนุมของแกนนำเสื้อแดง ในวันที่ 14 เม.ย. ทำให้หลายคนเกิดคำถาม แม้แต่ในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง เพราะการที่เสื้อแดงบางส่วน ยังปักหลักชุมนุมก็แสดงว่า เห็นต่างจากแกนนำ

นำมาซึ่งเสียง
วิพากษ์วิจารณ์ว่า การชุมนุมของเสื้อแดง ไม่ประสบความสำเร็จ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง พูดถึงกรณีเสื้อแดงไม่แท้ เข้ามาปะปน การสู้ต่อไปของเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

** เหตุที่ยุติการชุมนุม

ขณะนั้นเรามีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ทางแรก ไม่ต้องการให้คนตายมากขึ้นไปอีก ผมเคยผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว
ทางที่สอง ถ้าต้องการชัยชนะ เราทำได้เลย ในวันที่ 14 เม.ย. โดยไม่ยุติการชุมนุม เปิดทางให้มีการสลาย ให้ประชาชนตาย แกนนำและผมอาจตายด้วย แต่เราไม่ต้องการให้ใครต้องตายอีกแล้ว เราต้องรอและอดทนเพื่อการต่อสู้ครั้งใหม่ การยุติการชุมนุมจึงเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การพ่ายแพ้

** จากนี้จะเป็นรูปแบบไหน

เราคงในจุดยืนเดิม ไม่เปลี่ยนข้อเรียกร้อง กรณีขององคมนตรีทั้ง 3 คน ขณะนี้สาธารณะได้รับรู้หมดแล้วส่วนการอยู่หรือไปของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนี้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่กว่านั้นคือ การดำเนินคดีในฐานะฆาตกรที่สั่งการฆ่าประชาชนขณะนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยื่นเรื่องให้องค์การสหประชาชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสากล ขนาดการใช้แก๊สน้ำตายังผิด ใช้ปืนเอ็ม 16 จะไม่ยิ่งกว่าหรือ
จะเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงจากเหตุสลายการชุมนุม ให้ปรากฏว่ามีคนตายอย่างไร แกนนำคนเสื้อแดงชุดเก่าจะอยู่กันครบ ขึ้นเวทีเหมือนเดิม ซึ่งจะไม่ขัดกับเงื่อนไขที่ให้ประกันตัว เพราะใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสงบปราศจากอาวุธขอฝากรัฐบาลว่า การไล่ล่า ทั้งการยึดอุปกรณ์และปิดสถานีโทรทัศน์ดีทีวี วิทยุชุมชนและออกหมายจับทุกจังหวัด เพราะหวังว่า ความเชื่อของคนเสื้อแดงจะหมดไป จะยิ่งสร้างความเจ็บแค้น ก่อให้เกิดการต่อต้าน ท้ายที่สุด ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาจัดการ

** การชุมนุมที่ไม่บรรลุเป้า เพราะกลุ่มคนเสื้อแดง มีหลายกลุ่ม หลายก๊ก

ถ้าคนที่เป็นเสื้อแดงแท้ๆ ไม่มีปัญหา เพราะคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มเดียว แต่ที่เหลือ คือพวกสามานย์ ที่เอาทหาร ตำรวจ มาใส่เสื้อสีแดง เพื่อสร้างสถานการณ์ คนเสื้อแดงไม่มีบัตรประจำตัว ไม่มีการสมัคร เขามากันเอง ซึ่งเป็นจุดแข็ง แต่มันก็กลายเป็นจุดอ่อน เพราะใครมาก็ได้ส่วนการปิดถนนตามแยกสำคัญทั่วประเทศ ยืนยันว่า ไม่ใช่มติแกนนำ แต่เป็นเพราะมีคนเสื้อแดงที่เขาคิดและทำเอง แท็กซี่ต้องการปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งที่ไม่ใช่มติของคนเสื้อแดง แต่ท้ายสุด เรายึดหลักว่าเมื่อเขาทำ เราต้องรับผิดชอบ
คืนที่มีปัญหา มีการจับปืนได้กว่า 10 กระบอก ถ้าเราต้องการความรุนแรงจริง เราจะคืนปืนทำไม พันธมิตรยึดปืนที่ทำเนียบ ยังไม่คืนเลย

** เคลื่อนไหวต่อจากนี้มีความพร้อมแค่ไหน

พร้อมกว่าครั้งที่แล้ว เพราะคนเสื้อแดงรู้สึกว่า เขาเจ็บปวด หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มันมึนไปหมด พอมาคลี่ปม ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีการนำรถแก๊ส ก็ฝีมือรัฐบาล กรณียิงชาวบ้านที่นางเลิ้ง กรณีซอย 5 ซอย 7 หรือเผารถเมล์ ก็พวกคุณทั้งนั้น สุดท้ายมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง
ผมมีข้อมูลหลักฐาน ที่ทหารยิงประชาชน มีภาพการใช้อาวุธจริง แต่เรื่องศพต้องพิสูจน์จากคนหาย ขณะนี้ทีมงานกำลังพิสูจน์กันอยู่ แม้กระทั่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ต้องนำสืบเช่นกันวันนี้ถึงบอกว่าเพียง 1 ชีวิต นายอภิสิทธิ์ก็อยู่ไม่ได้แล้ว และ 2 ศพที่แม่น้ำเจ้าพระยาไปข่มขู่ญาติพี่น้อง บิดเบือนว่า เมาเหล้าตาย เชื่อว่าหลักฐานต่างๆ จะเริ่มชัดขึ้น นายอภิสิทธิ์ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฆ่าคนตาย

** จะซ้ำรอยกับการสลายการชุมนุมที่ผ่านมาหรือไม่

ผมว่าจะหนักขึ้น คนเสื้อแดงรู้สึกว่า ตัวเองคือเหยื่อในสถานการณ์ ฉะนั้น ถ้าเขาออกมา และถูกปราบปรามอีก รับรองไม่จบอย่างที่ผ่านมาแน่

** นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำ นปช. ระบุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ปลุกระดม โดยเฉพาะคำว่า อย่ากลับบ้านมือเปล่า

นายวิภูแถลงมาคุยกับผม เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่า ไม่ได้พูดในความหมายเช่นนั้น มีการตีความคลาดเคลื่อน ในความหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า อย่ากลับบ้านมือเปล่านั้น ต้องการสื่อว่า ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมา กระบวนการยุติธรรมที่มีมาตรฐานเดียว และเป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีอำมาตย์พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจ เพียงแต่เห็นชะตากรรมของบ้านเมือง เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมปราศรัย และไม่ได้บอกว่า ให้ดำเนินการความรุนแรงอะไร วันนี้การจะแพ้หรือชนะ พ.ต.ท. ทักษิณก็เป็นคนเสื้อแดงคนหนึ่งเท่านั้น

** มีการบอกว่าการใช้ความรุนแรง เพื่อให้องค์กรต่างประเทศ เข้ามาตั้งโต๊ะเจรจา โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมเจรจาด้วย

ความรุนแรงที่เกิดขึ้น คนของรัฐบาลจัดฉากเป็นส่วนใหญ่ แนวทางของพวกผม โดยเฉพาะความจริงวันนี้ มีจุดยืนสำคัญคือ สงบ สันติเราไม่ต้องการให้องค์กรต่างประเทศมาตั้งโต๊ะเจรจา แต่ต้องการสื่อไปยังต่างประเทศว่า รัฐบาลใช้อาวุธหนัก โดยเฉพาะปืนเอ็ม 16 มาสลายการชุมนุมไม่ได้ เพราะผิดหลักสากล ทั้งที่หลักสากล ให้ใช้รถดับเพลิงฉีดนำก่อน แต่ไม่ใช้

** มีข้อสงสัยว่า คนเสื้อแดงนำเงินจากที่ไหนมาใช้เคลื่อนไหว

เราได้รับจากการบริจาค เรียกได้ว่า เหลือเฟือและไม่จำเป็นต้องจ้างระดมคน คนเสื้อแดงมากันเอง และไม่มีท่อน้ำเลี้ยงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มันไม่จำเป็น

** ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังสู้ต่อหรือไม่

ยังสู้เหมือนเดิม เจตนารมณ์ของท่าน ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง โดยเฉพาะการเรียกร้องความเป็นธรรม และต้องการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง อาจมีขึงขังบนเวทีบ้าง มันเป็นเพียงภาษาการปราศรัย ปลุกเร้าให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นระหว่างกัน

** พ.ต.ท.ทักษิณให้สัญญาว่า หากสลายการชุมนุม มีคนตาย จะกลับมายืนนำหน้าประชาชนต่อสู้

พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาแน่ แต่จะมาช่วงไหน ขอให้รอดู พ.ต.ท.ทักษิณ อยากกลับมา ตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนแล้ว แต่ห้ามปรามกันไว้ วันนี้ต้องรอสถานการณ์ให้นิ่ง ให้ประชาชนรับรู้ว่า มีการจัดฉาก ใส่ร้าย เมื่อรับรู้ครบถ้วนแล้ว ถึงจะเป็นเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาสู่อ้อมกอดของแผ่นดินเกิด

** ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ถ้าพูดถึงคนที่เคยเข้าป่า พันธมิตรและเกือบทุกพรรค รวมถึงรัฐบาล มีอยู่หลายคน คอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว การกล่าวอ้างที่ว่าเป็นความเท็จทั้งสิ้น ถ้าปลุกผีคอมมิวนิสต์ มันก็เป็นเพียงผีคอมมิวนิสต์ที่ไม่มีชีวิตส่วนการกล่าวหาว่า ล้มสถาบัน คนเสื้อแดงจงรักภักดี แต่ไม่เห็นด้วยกับอมาตยาธิปไตย โดยเฉพาะองคมนตรีบางคน ที่มีพฤติกรรมไม่สมควร สั่งการและแทรกแซงการเมือง เรายืนหยัดในหลักการว่า คนเสื้อแดงปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ต้องไม่มีอำมาตย์เป็นตัวคั่นกลาง ระหว่างประชาชนและพระเจ้าแผ่นดิน แต่สถาบันองคมนตรี ที่ทำหน้าที่ที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์ ต้องมีอยู่ต่อไป

** นายจักรภพ ระบุจะเคลื่อนไหวใต้ดิน มีการใช้อาวุธด้วย

ผมยังไม่มีโอกาสได้เจอกับนายจักรภพ ถ้าเจอจะบอกว่า สิ่งที่นายจักรภพเสนอนั้น มันไม่ได้ และพวกผมไม่เอาด้วย เพราะแนวทางการต่อสู้แบบใต้ดิน จะทำให้การต่อสู้นั้นยากขึ้น ขณะนี้ปิดประตูตายต่อการเจรจาหรือยังแนวทางวันนี้ ตราบใดที่มีการเอาเปรียบอยู่ มีสองมาตรฐานอยู่ กระบวนการยุติธรรมที่อยุติธรรมอยู่ แบบนี้ มันไม่มีการเจรจาใดๆ เราจะไม่ทรยศต่อประชาชนที่บาดเจ็บและล้มตาย
แต่หากมีความเสมอภาคค่อยมาเจรจากัน
http://thaienews.blogspot.com/2009/05/blog-post_04.html

newskythailand Gallery

Twitter Updates (thaksinlive)

Red Twitter ทวิตเตอร์เสื้อแดง

จำนวนผู้เยี่ยมชม